DSI เชือด “อดีตรมต.-บิ๊ก ก.แรงงาน” รวม 4 ราย เอี่ยวหัวคิวแรงงานไปฟินแลนด์

31

DSI ร่วมกับ พนง.อัยการ ลงดาบเชือด”อดีตรมต.และบิ๊ก ก.แรงงาน” รวม 4 ราย เอี่ยวหัวคิวแรงงานไปฟินแลนด์ พบหลักฐานชัด มีขบวนการสมคบคิด หักหัวคิวเป็นมูลค่ากว่า 36 ล้านบาท ในช่วงปี 2563-2566

วันที่ 10 มกราคม 2567 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ นำโดยกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด มีมติร่วมกันให้กล่าวหาอดีตข้าราชการฝ่ายการเมือง ระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน อีก 2 คน รวมทั้งหมด 4 คนในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 โดยจะเร่งสรุปสำนวนการสอบสวนส่งสำนักงาน ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ต่อไป

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยกองคดีการค้ามนุษย์ ได้ทำการสืบสวนสอบสวนคดีพิเศษที่ 81/2566 เนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศ เรื่องแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ โดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮลซิงกิ ได้ให้ความช่วยเหลือแรงงานไทยในสาธารณรัฐฟินแลนด์ ที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ในการเดินทางกลับประเทศไทย ซึ่งมีการขอความร่วมมือ จากสาธารณรัฐฟินแลนด์ในความผิดฐานค้ามนุษย์ต่อมาทางการสาธารณรัฐฟินแลนด์ได้ส่งพยานหลักฐานสำคัญ ตามที่ทางการไทยร้องขอให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีขบวนการสมคบระหว่างนักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ และ บุคคลธรรมดา ร่วมกันเรียกรับผลประโยชน์จากบริษัทผู้ประสานงานฝั่งไทยที่ทำหน้าที่ประสานงานกับบริษัทที่จะนำเข้าแรงงานของสาธารณรัฐฟินแลนด์ เป็นค่า “หัวคิว” (DOE MAMAGEMENT) หรือค่าดำเนินการ เฉลี่ยรายละ 3,000 บาท โดยไม่มีสิทธิเรียกเก็บตามกฎหมาย ซึ่งบริษัทประสานงานฝั่งไทยได้นำมาเรียกเก็บจากคนงานที่ไปทำงานอีกชั้นหนึ่งนอกเหนือจากค่าใช้จ่ายตามจริง

โดยในปี พ.ศ. 2563 – พ.ศ. 2566 ซึ่งเป็นช่วงดำเนินคดี มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมประมาณ 12,000 คน คิดเป็นเงินรวมประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการ ได้มีมติกล่าวหาบุคคลดังกล่าว รวม 4 คน และจะนำส่งสำนวนคดีพิเศษดังกล่าว ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

​”การป้องกันและปราบปรามการทุจริต เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงยุติธรรม กรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของกระทรวงยุติธรรม ที่มีหน้าที่ปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ต้องมีบทบาทในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ยิ่งเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ ยิ่งต้องให้ความสำคัญ เพราะกระทบต่อสิทธิมนุษยชนอันเป็นสิทธิพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ จึงไม่ควรมีนักการเมือง หรือ ผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง แม้จะเป็นคดีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. DSI ก็ควรต้องช่วยเหลือและสนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามอำนาจหน้าที่ เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ”