ปรับครม.สะเทือน! “ปานปรีย์” ลาออกจาก รมว.กต. เหตุถูกปรับพ้นรองนายกฯ

20

‘ปานปรีย์ พหิทธานุกร’เปิดใจระหว่าง พักให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ยอมรับขอลาออกจาก รมว.กต. เหตุถูกปรับพ้นรองนายกฯ หวั่นอาจทำงานไม่ราบรื่น ยืนยันไม่เปลี่ยนใจ เชื่อยังมีคนอื่นเหมาะสมมาทำงานแทนได้

วันที่ 28 เม.ย.2567 นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ ซึ่งระหว่างการพักให้น้ำเกลืออยู่ที่โรงพยาบาล ให้สัมภาษณ์ถึงข่าวการยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังจากมีการปรับคณะรัฐมนตรีโดยให้นายปานปรีย์พ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เหลือเพียงตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ ว่า เป็นเอกสารจริง โดยจากนี้ ตนจะยื่นให้กับนายกรัฐมนตรีเพื่อรักษาหลักการของการทำงานเท่านั้น ทั้งนี้แม้การปรับครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่ในการทำงานในตำแหน่งรมว.ต่างประเทศนั้น ส่วนมากจะมีตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีพ่วงด้วย เพี่อที่เวลาเดินทางไปปฏิบัติราชการหรือเจรจาใดๆในต่างประเทศ จะได้มีเกียรติและสามารถดำเนินการได้ราบรื่นมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาไทยก็มีผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีที่พ่วงกับรมว.ต่างประเทศ

นายปานปรีย์ กล่าวอีกว่า ในตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีอาจไม่จำเป็นต้องกำกับดูแลหลายงาน โดยนายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายงานให้กับรองนายกฯคนอื่นก็ได้ หรือจะมอบหมายให้รมว.ต่างประเทศ อย่างในกรณีที่เคยมอบหมายให้ตนทำก็ได้ ซึ่งที่ผ่านมา ตนทำงานได้ด้วยความเรียบร้อย แต่เมื่อมาเหลือตำแหน่งเดียว ตนก็เห็นว่าสิ่งที่ตนจะดำเนินการต่อไป ในด้านการต่างประเทศอาจไม่รวดเร็วยังหรือราบรื่นเท่าที่ควร ทั้งตนคิดว่าถ้านายกรัฐมนตรีเห็นว่ามีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า ก็ให้มาทำงานแทนได้

เมื่อถามว่าการลาออกครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่องานต่างๆที่ได้มีการประสานกับต่างประเทศไว้หรือไม่ นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ตนได้วางแผนไว้แล้วก่อนหน้านี้ว่า 6 เดือนหลังจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศจะดำเนินการอย่างไรต่อไป และตนเชื่อว่าคนที่จะมาสานงานต่อ สามารถที่จะทำงานแทนต่อไปได้ ต่อข้อถามว่านายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบก่อนหรือไม่ว่าจะปรับครม. นายปานปรีย์ กล่าวว่า นายกฯบอกกับตนว่าจำเป็นต้องปรับครม. แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าปรับอย่างไร ซึ่งตนตอบไปว่า “ครับ” จากนั้นยังไม่ได้คุยอะไรกันอีก

เมื่อถามว่าจะเปลี่ยนใจหรือไม่หากนายกรัฐมนตรีขอให้กลับมาช่วยทำงาน นายปานปรีย์ กล่าวว่า ก็นายกรัฐมนตรีตัดสินใจจะให้เป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่ปัญหาของตน เมื่อถามอีกว่าจะยังทำงานการเมืองต่อไปหรือไม่นั้น นายปานปรีย์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของอนาคต ยังไม่ได้ตัดสินใจ

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังเสร็จสิ้นภารกิจการต้อนรับและหารือกับนายกรัฐมนตรีบังคลาเทศที่เยือนทำเนียบรัฐบาลแล้ว นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกนายปานปรีย์เข้าไปพูดคุยที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นการเข้าพบดังกล่าว ปรากฏว่านายปานปรีย์มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่สู้ดีมากนัก แต่ยังคงไปปฏิบัติต่างๆ รวมถึงไปร่วมงานวันสราญรมย์ที่กระทรวงการต่างประเทศ ในช่วงค่ำของวันเดียวกันด้วยท่าทีปกติ และไม่ได้มีการเปรยให้คณะผู้บริหารกระทรวงฯทราบล่วงหน้าว่าจะลาออกจากตำแหน่งรมว.ต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม หลังจากปรากฏข่าวเกี่ยวกับจดหมายลาออกดังกล่าวในวันนี้ (28 เม.ย.) นายปานปรีย์ได้แจ้งต่อคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศทั้งหมดให้ทราบว่าได้ยื่นจดหมายขอลาออกจากตำแหน่งรมว.ต่างประเทศแล้ว โดยไม่ได้ระบุเหตุผลหรือฝากงานใดๆต่อคณะผู้บริหารกระทรวงฯ.

โดยก่อนหน้านี้ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รมว.ต่างประเทศ ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ระบุใจความว่า

กราบเรียน นายกรัฐมนตรี ตามที่มีการปรับคณะรัฐมนตรีบางตำแหน่ง และปรากฏว่าผมยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่เพียงตำแหน่งเดียวนั้น

ผมมีความประสงค์จะขอลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และทุกตำแหน่งที่ได้รับมอบหมาย ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2567 เพื่อเปิดทางให้ท่านอื่นเข้ามาดำรงตำแหน่งแทน

สาเหตุของการปรับผมออกจากรองนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ผมเชื่อว่าไม่เกี่ยวกับผมไม่มีผลงานแน่นอน เพราะผมทุ่มเทการทำงานด้านต่างประเทศและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และตั้งใจทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์

มีนักลงทุนต่างชาติสนใจ มาลงทุนมากขึ้น ตามที่รัฐบาลได้แถลงผลงานไปแล้ว จนสามารถตอบสนองต่อนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุกอย่างเด่นชัด วันนี้ไทยหวนกลับมาขึ้นบนจอเรด้าของโลก มีมิตรประเทศเพิ่มขึ้น และมีนักลงทุนต่างชาติสนใจมาลงทุนในไทยมากขึ้น

นอกจากนั้น การให้ความสำคัญกับคนไทยในต่างประเทศ ผมยังไปเจรจาด้วยตัวเอง เพื่อนำคนไทยผู้ถูกจับเป็นตัวประกันในอิสราเอลกลับไทยได้ถึง 23 คน แรงงานไทย 8,000 คน และจากเล่าก็ก่ายใน เมียนมาอีก 1,000 คน เปิดวีซ่าฟรีกับหลายประเทศ เพื่อคนไทยมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้น

การให้ความช่วยเหลือต้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา พื้นความสัมพันธ์กับอาเชียน สหภาพอียู อินเดีย และประเทศมหาอำนาจ ทั้งสหรัฐอเมริกา และจีน จนเกิดการเจรจา ลดความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ในประเทศไทยอีกด้วย

สุดท้ายนี้ ผมหวังว่า การปรับคณะรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ ช่วยให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพมากขึ้น โปร่งใส และรักษาผลประโยชน์ของชาติต่อไป ขอขอบพระคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสผมได้ทำงานกับรัฐบาลนี้มาช่วงเวลาหนึ่ง.