ศุภชัย โต้ทวี สอดส่อง กัญชาเพื่อเศรษฐกิจมีในนโยบายรัฐบาล ดัน ออกกม.คุม

44

“ศุภชัย” แจง “ทวี สอดส่อง” ยืนยัน กัญชา เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ มีอยู่จริง บรรจุไว้ ในนโยบายรัฐบาล ใช้ให้ถูกต้อง ออกกฎหมายมาควบคุม บังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัด เป็นแนวทางที่ดีที่สุด
.
นายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไม่เห็นด้วยในการใช้กัญชาในเชิงเศรษฐกิจ ว่า ในฐานะอดีต
ประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติกัญชากัญชง เรียนชี้แจงว่า
นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบันเขียนไว้ชัดเจนว่า “รัฐบาลจะดำเนินแนวทางนโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์ และสุขภาพ เพื่อสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ” ซึ่งพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคก็ให้การรับรองเอาไว้ต่อรัฐสภา ดังนั้นการดำเนินการที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการออกกฎหมายมาควบคุมการใช้กัญชา อย่างถูกต้อง และได้มีการเสนอกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้กัญชากัญชง ในสภาผู้แทนราษฎร
.
นายศุภชัย ยืนยันว่า การใช้กัญชา ในประเทศไทย มีการกำหนดเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าการนำกัญชา กัญชง มาใช้ ปริมาณสารสกัดจะต้องมี THC ไม่เกิน 0.2 % ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของสหประชาชาติ และหลายประเทศทั่วโลกดำเนินการตามนี้ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และประเทศกลุ่มยุโรป ก็มีการออกกฎหมายมาควบคุมการใช้ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์กัญชา โดยที่อุตสาหกรรมกัญชาคาดการณ์ว่าจะมีมูลค่านับหมื่น นับแสนล้านบาท
.
ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) ระบุว่า การประกาศให้กัญชาทุกส่วน หรือ บางส่วน หรือเฉพาะสารสกัด เป็นยาเสพติด ต้องมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ จึงจะตอบประชาชนได้ว่า เหตุใดจึงมีการประกาศเปลี่ยนแปลงสถานะของกัญชา ให้กลับไปเป็นยาเสพติด เนื่องจากการประกาศให้กัญชาทุกส่วนที่ผลิตในประเทศพ้นจากการเป็นยาเสพติด และกำหนดให้สารสกัดที่มี THC มากกว่าร้อยละ 0.2 ของน้ำหนัก เป็นยาเสพติด เป็นการประกาศโดยมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มารองรับ และเป็นมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ปปส.) ดังนั้นจึงต้องมีเหตุผลมารองรับหากจะมีมติเปลี่ยนแปลงประกาศฉบับปัจจุบัน
.
“จึงต้องรอดูว่าการประกาศให้กัญชา เป็นยาเสพติด จะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และประชาชนที่ใช้ประโยชน์จากกัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ หรือไม่ อย่างไร ต่อไป โดยเฉพาะหากมีการประกาศให้กัญชา เป็นยาเสพติด จะเหมาะหรือไม่ ที่รัฐบาลจะใช้ยาเสพติด มาสร้างมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ การแก้กฎหมายต้องคำนึงถึงคนทั้งประเทศ การแก้ปัญหา คือ การออกกฎหมายมาควบคุม ไม่ใช่ การทำให้กัญชาเป็นยาเสพติด การปลดล็อคกัญชาที่ผ่านมา มีการออกประกาศควบคุมต่างๆ เช่น ปริมาณ THC ไม่ให้เกิน 0.2 % การห้ามจำหน่ายให้แก่เด็กและเยาวชน ตลอดจนบริเวณใกล้เขตวัด เขตโรงเรียน สตรีมีครรภ์ และสตรีให้นมบุตร และการร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการใช้กัญชากัญชง พรรคภูมิใจไทย ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ขณะนี้ได้ยื่นร่างเข้าสู่สภาแล้ว จึงเป็นแนวทางที่น่าจะดำเนินการต่อไปให้สิ้นกระบวนการ”นายศุภชัย กล่าว
**************