‘ดร.วินัย’แย้งข้อมูลนักเขียนซีไรท์ การสิ้นสุดยุคทองของอิสลาม

‘ย้อนกลับมาในยุคปัจจุบัน การคงอยู่ของผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญ การสูญเสียผู้นำทางการเมืองที่เข้มแข็งในโลกมุสลิมหลายประเทศจากการบ่อนเซาะของอิทธิพลภายนอก มีส่วนอย่างมากในการทำลายประเทศมุสลิมเหล่านั้น การเลือกอดทนรอเวลาโดยรักษาผู้นำไว้เช่นที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศรอบอ่าวในวันนี้คงช่วยให้เข้าใจสถานการณ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางได้ดียิ่งขึ้น’

การสิ้นสุดยุคทองของโลกอิสลามในข้อเขียนของวินทร์ เลียววารินทร์

ดร.วินัย ดะห์ลัน ที่ปรึกษาศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนบทความโต้แย้งข้อมูลของวินทรื เลียววารินทร์ ประเด็นการสิ้นสุดยุคทองของอิสลามว่า อิสลามเคยเป็นเจ้าโลกในเรื่องวิทยาการ ดวงดาวส่วนใหญ่บนฟ้าในเวลานี้เป็นภาษาอิสลาม แต่ยุคทองของอิสลาม (ศูนย์กลางที่แบกแดด) ก็ล้มครืนทันที เมื่อผู้นำสั่งห้ามการแสวงหาความรู้ โดยอ้างศาสนา และไม่เคยฟื้นจนบัดนี้” ถ้อยความข้างต้น “วินทร์ เลียววารินทร์” เขียนไว้ใน fb ของตนเองวันที่ 3 มิถุนายน 2568 คุณวินทร์เป็นนักเขียนระดับมือรางวัลซีไรต์ มีความรู้ทั้งกว้างและลึก เขียนหนังสือเข้าใจง่าย น่าอ่าน ผมเป็นคนหนึ่งที่ติดตามผลงานของคุณวินทร์ จึงยินดีที่คุณวินทร์กล่าวถึงความก้าวหน้าทางวิทยาการของโลกอิสลามในอดีต ถูกต้องในหลายส่วนทว่ามีบางส่วนที่ผมประสงค์แสดงความคิดเห็นบ้าง จึงขออนุญาตนำมาขยายความไว้ ณ ที่นี้
การล้มครืนของยุคทองในโลกอิสลาม (คริสตศตวรรษที่ 8-12) เป็นผลมาจากการทำลายกรุงแบกแดดของกองทัพมองโกลที่นำโดยฮูเลกูข่าน (ค.ศ.1217-1265) เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1258 ผู้นำหรือหรือคอลีฟะฮฺราชวงศ์อับบาสิยะฮฺ ในกรุงแบกแดดเวลานั้นคือ “อัลมุสตาซิม” (ค.ศ.1212-1258) พระองค์มิได้หนีทว่าร่วมต่อสู้ปกป้องเมืองกระทั่งถูกจับและถูกประหารโดยฮูเลกูข่าน หลังจากนั้น หมึกจากหอสมุดรวมกับเลือดของทหารและชาวเมืองจากการเผาทำลายกรุงแบกแดดทำน้ำในแม่น้ำไทกริสเปลี่ยนเป็นสีแดงปนดำนานนับเดือน ศูนย์ศิลปวิทยาการที่ชื่อ “ไบตุ้ลฮิกมะฮฺ” รวมถึงหอดูดาว หอสมุดใหญ่ โรงพิมพ์ โรงงาน มหาวิทยาลัย โรงเรียน บ้านเรือนถูกเผาทำลายชนิดราพนาสูร นักวิชาการมุสลิมรวมทั้งชาวเมืองถูกสังหารตามบันทึกมีมากถึง 8 แสนคน บ้างว่า 2 ล้านคน บ้านเมืองอันรุ่งเรืองสุดขีดถูกเผาผลาญเสียหายยิ่งกว่ากรุงศรีอยุธยาในอดีต และกาxาในวันนี้
ยุคทองของอิสลามมีส่วนอย่างสำคัญต่อการปลุกยุโรปให้ก้าวเข้าสู่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรเนสซองค์ในคริสตศตวรรษที่ 14 เป็นคล้ายการวิ่งผลัดที่โลกอิสลามส่งผ่านความรุ่งเรืองสู่ยุโรป ส่วนวิทยาการในโลกอิสลามภายหลังจากนั้นกลับซบเซาลง แม้จักรวรรดิอุสมานียะฮฺหรือออตโตมันจะก้าวขึ้นมาได้ช่วงต้นศตวรรษที่ 14 ทั้งรุ่งเรืองหลังจากนั้น ยาวนานหลายศตวรรษ อิสลามกลับไม่เคยคืนสู่ยุคทองทางศิลปวิทยาการอีกเลย เมื่อผู้นำถูกทำลายจนสิ้นราชวงศ์ วิทยาการในโลกมุสลิมจึงแตกสลาย บ้านเมืองยุคหลังจากนั้นก้าวเข้าสู่อิทธิพลของฝ่ายศาสนาอันเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นในหลายสังคม ประเด็นของคุณวินทร์จึงอยู่ตรงนี้

นักวิชาการด้านศาสนวิทยาชาวออสเตรเลียชื่อทิม โอนีล ตอบคำถามในเว็บไซด์ Quara. com ที่ว่าเมื่อไรและเหตุใดที่ศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์ของโลกอิสลามจึงหายไปทั้งที่ในยุคหนึ่งอารยธรรมอิสลามเต็มเปี่ยมไปด้วยความก้าวหน้าเหล่านั้น คำตอบคือภายหลังแบกแดดถูกทำลาย สังคมการเรียนรู้ในโลกอิสลามเปลี่ยนจากตะฮฺฆีฆ การตั้งคำถาม การโต้แย้ง และตะฟักกูร การคิดวิเคราะห์ ไปสู่ “ตัฆลีด” หรือทำตาม ความกล้าเปลี่ยนแปลงหายไป นั่นเป็นคำตอบจากนักวิชาการที่มิใช่มุสลิม

ย้อนกลับมาในยุคปัจจุบัน การคงอยู่ของผู้นำจึงเป็นสิ่งสำคัญ การสูญเสียผู้นำทางการเมืองที่เข้มแข็งในโลกมุสลิมหลายประเทศจากการบ่อนเซาะของอิทธิพลภายนอก มีส่วนอย่างมากในการทำลายประเทศมุสลิมเหล่านั้น การเลือกอดทนรอเวลาโดยรักษาผู้นำไว้เช่นที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มประเทศรอบอ่าวในวันนี้คงช่วยให้เข้าใจสถานการณ์เชิงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางได้ดียิ่งขึ้น
.
ข้อเขียน ดร.วินัย ดะห์ลัน
https://www.facebook.com/share/p/1BTXA4GRqo/

ข้อเขียนของ วินทร์ เลียววารินทร์
https://www.facebook.com/photo?fbid=1304160144406007&set=a.208269707328395