บทสรุป สงคราม 12 วันอิหร่าน-อิสราเอล

แม้ว่าหากโรงงานนิวเคลียร์จะถูกรุกทำลายจนสิ้นซาก แต่องค์ความรู้ที่หยั่งรากอยู่ในมันสมองของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นผลจากทศวรรษแห่งการศึกษา ค้นคว้า และการเสียสละชีพของนักวิทยาศาสตร์ไม่มีวันถูกทำลายลงได้

ดร.เลอร์พงษ์ ซายิด ผู้เชี่ยวชาญด้ารอิหร่าน โพสต์ระบุว่า หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ร่วมกับอิสราเอล เปิดฉากปฏิบัติการ “Operation Midnight Hammer” ด้วยการโจมตีโรงงานและศูนย์วิจัยนิวเคลียร์สำคัญในเมืองฟอร์โด นาทานซ์ และอิสฟะฮาน โดยใช้เครื่องบินล่องหน B-2 ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัย ร่วมกับระเบิดเจาะเกราะขนาดหนัก GBU-57 บังเกอร์บัสเตอร์ ภายใต้การคุ้มกันของฝูงบินรบ และสนับสนุนโดยการยิงขีปนาวุธโทมาฮอว์กจากเรือดำน้ำ

ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ว่า “เราได้ทำลายสถานที่นิวเคลียร์ทั้งสามแห่งของอิหร่านจนได้รับความเสียหายอย่างสิ้นเชิง และหากอิหร่านพยายามตอบโต้ สหรัฐอเมริกาจะดำเนินการตอบสนองอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม”

เช้าวันรุ่งขึ้น ผมได้โพสต์ข้อความในเพจว่า โรงงานนิวเคลียร์ทั้งสามแห่งของอิหร่านได้รับความเสียหายเฉพาะบริเวณประตูทางเข้าด้านบนเท่านั้น ขณะที่โครงสร้างภายในอาคารซึ่งตั้งอยู่ลึกลงไปถึง 90 เมตรใต้พื้นดิน ยังคงสภาพสมบูรณ์ไม่เสียหายแต่อย่างใด

เนื่องจากศูนย์นิวเคลียร์เหล่านี้ถูกออกแบบอย่างชาญฉลาดให้ฝังตัวอยู่ในภูเขาที่มีสภาพภูมิประเทศซับซ้อน ยากต่อการโจมตีทางอากาศ ในช่วงแรกของข่าว หลายท่าน (ยกเว้นแฟนเพจ) รวมถึงสื่อมวลชนไทยจำนวนไม่น้อย ยังไม่เชื่อ เพราะไม่คิดว่าเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนระดับ B-2 หลายลำจะไม่สามารถทำลายเป้าหมายได้สำเร็จ ยิ่งเมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาแถลงข่าวต่อสาธารณะโลกด้วยท่าทีมั่นใจ จึงยิ่งทำให้คำยืนยันของผมยากที่จะได้รับความเชื่อถือ

เมื่อข้อมูลที่ผมได้นำเสนอไว้ล่วงหน้าหลายวันก่อน ถูกยืนยันโดยภาพถ่ายดาวเทียม จนกระทั่งสื่อกระแสหลักอย่าง CNN The New York Times และสำนักข่าวอื่น ๆ ต้องออกมารายงานว่า ศูนย์นิวเคลียร์ทั้งสามแห่งของอิหร่านมิได้ถูกทำลายดังที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวอ้าง แต่เพียงส่วนของทางเข้าด้านบนเท่านั้นที่ได้รับความเสียหาย ขณะที่โครงสร้างส่วนลึกยังอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และคาดว่าอิหร่านจะสามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูโครงการได้ภายในเวลาไม่กี่เดือน

ความคลาดเคลื่อนระหว่างคำแถลงของสหรัฐฯ กับข้อเท็จจริงนี้ ได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทีมงานของทรัมป์กับสื่อภายในประเทศ ซึ่งก็เป็นไปตามข้อสังเกตที่ผมได้แจ้งไว้ตั้งแต่วันแรกที่มีข่าว

อิสราเอลและสหรัฐอเมริกาได้เปิดฉากปฏิบัติการโจมตีอิหร่านด้วยเหตุผลหลักสองประการ ได้แก่ หนึ่ง การทำลายโรงงานและศูนย์วิจัยด้านนิวเคลียร์ และสอง การทำลายฐานยิงพร้อมขีปนาวุธของอิหร่าน อย่างไรก็ตาม โรงงานนิวเคลียร์ทั้งหมดยังคงสภาพเกือบสมบูรณ์ ได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยซึ่งสามารถซ่อมแซมและกลับมาใช้งานได้ภายในเวลาไม่นาน

ขีปนาวุธจำนวนมากยังคงอยู่ในสภาพใช้งาน และฐานยิงหลายร้อยแห่งก็ยังคงปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่ก่อนการหยุดยิงนั้น อิหร่านได้ระดมยิงใส่อิสราเอลจนหลายพื้นที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนอิสราเอลจำเป็นต้องให้ประธานาธิบดีทรัมป์ส่งสารไปยังอิหร่าน เพื่อเสนอข้อตกลงหยุดยิงก่อน

ซึ่งในเวลาต่อมา ได้รับการยืนยันจากรัฐมนตรีต่างประเทศของกาตาร์และอิหร่านตรงกันว่า ฝ่ายสหรัฐฯ เป็นผู้ร้องขอให้อิหร่านยุติการโจมตี ไม่ใช่อิหร่านที่เป็นฝ่ายขอหยุดยิง

หากจะพิจารณาในเชิง “ยุทธศาสตร์” ลำพังผลลัพธ์ที่โรงงานนิวเคลียร์และคลังขีปนาวุธยังไม่ถูกทำลายตามเป้า ขณะที่อิสราเอลเองกลับได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนต้องรีบร้อนขอให้สหรัฐฯส่งสารหยุดยิงไปยังอิหร่าน ย่อมสะท้อนว่า“เป้าหมายเชิงทหารของฝ่ายโจมตีไม่สัมฤทธิ์ผล

หากมองจาก “จิตวิญญาณการป้องกันตน” อิหร่านแม้จะถูกโจมตีและผู้บัญชาการ​คนสำคัญในเหล่าทัพถูกลอบสังหาร​ก่อน แต่กลับสามารถยืนหยัด ตอบโต้ และยังคงโครงสร้างยุทธศาสตร์ไว้อย่างมั่นคง พร้อมทั้งรักษาอธิปไตยของตนไม่ให้ถูกรุกล้ำไปมากกว่านี้ จุดนี้จึงเป็นความสำเร็จที่ไม่อาจประเมินค่าได้เพียงด้วยความเสียหายทางกายภาพ

ในด้าน “ความชอบธรรม” ระหว่างเวทีโลก การที่รัฐอื่นรวมถึงสื่อกระแสหลักเริ่มตั้งคำถามต่อคำกล่าวอ้างของสหรัฐฯ และตรวจสอบความจริงด้วยข้อมูลดาวเทียม ถือเป็นการสั่นคลอนฐานความน่าเชื่อถือทางศีลธรรมและการทูตของฝ่ายที่เปิดฉากโจมตีก่อน

ในสงครามที่ไม่ใช่แค่เรื่องใครเปิดฉากก่อน แต่อยู่ที่การยืนหยัดของเจตจำนงและอุดมการณ์ “ผู้ชนะ” อาจไม่ใช่ผู้ที่ทิ้งระเบิดได้มากกว่า แต่อาจเป็นผู้ที่แม้ถูกรุมแต่ยังยืนอยู่ และเปลี่ยนบริบทของโลกจากผู้ถูกกล่าวหา เป็นผู้ที่โลกหันมารับฟังและร่วมประณามต่อผู้รุกราน

แม้ว่าหากโรงงานนิวเคลียร์จะถูกรุกทำลายจนสิ้นซาก แต่องค์ความรู้ที่หยั่งรากอยู่ในมันสมองของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นผลจากทศวรรษแห่งการศึกษา ค้นคว้า และการเสียสละชีพของนักวิทยาศาสตร์ไม่มีวันถูกทำลายลงได้

ดังนั้นสงครามครั้งนี้ใครคือผู้ชนะท่านเป็นผู้ตัดสิน