สองปีผ่านไปนับจากวันที่ปฏิบัติการ “มหานธีอัล-อักซอ” ปะทุขึ้น ภาพที่หลงเหลือไม่ใช่เพียงโศกนาฏกรรมในปาเลสไตน์ แต่คือไฟสงครามที่ขยายวงกว้าง กินลึกไปถึงความจริงและเรื่องเล่าที่โลกถูกบังคับให้เชื่อ
การตอบโต้ของอิสราเอลหลังเหตุการณ์นั้น ไม่ได้มีเพียงระเบิดและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หากยังมาพร้อม “สงครามเรื่องเล่า” ที่ทำให้ชาวปาเลสไตน์ถูกตีตราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ไร้มนุษยธรรม น่าหวาดกลัว เรื่องเล่าเหล่านี้ถูกขยายเสียงดังไปทั่วโลก ผ่านนักการเมืองตะวันตก ผ่านสื่อกระแสหลัก และผ่านผู้ทรงอิทธิพลออนไลน์ โดยแทบไม่มีใครตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วมันคือความจริง หรือเพียงแค่ “เรื่องเล่าเพื่อทำให้การสังหารกลายเป็นสิ่งชอบธรรม”
ในวาระครบรอบสองปีของโศกนาฏกรรมกาซ่า บทความนี้จึงอยากชวนพวกเรามองอีกด้าน ซึ่งเป็นด้านที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง ด้านที่สื่อกระแสหลักเลือกจะเงียบ ด้านที่เผยให้เห็นความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่ยังคงถูกปิดปาก
#7/10 คือ 9/11 ของอิสราเอล?
7 ตุลาคม 2023 ถูกจารึกไว้ว่าเป็นวันที่ชาวยิวล้มตายมากที่สุดนับตั้งแต่สมัยฮิตเลอร์ แต่สิ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้ไม่ค่อยมีใครตั้งคำถามคือ ใครกันแน่ที่เป็นผู้ลงมือสังหารคนส่วนใหญ่ในวันนั้น?
รายงานหลายสำนัก รวมทั้ง Haaretz ของอิสราเอลเอง เปิดเผยสิ่งที่แทบไม่มีใครกล้าพูดออกมาดัง ๆ ก็คือ กองทัพอิสราเอล (IDF) ใช้นโยบาย Hannibal Directive ซึ่งอนุญาตให้ใช้กระสุนจริงเพื่อสกัดการจับตัวประกัน แม้จะทำให้คนของตนเองต้องตายก็ตาม ผู้รอดชีวิตจากเทศกาลดนตรี Nova และคิบุตซ์ต่าง ๆ พพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาเห็นรถถังและเฮลิคอปเตอร์ของอิสราเอลกราดยิงโดยไม่เลือกหน้า ขณะที่สำนักข่าว Reuters และ ABC Australia ยังบันทึกหลักฐานที่ชี้ชัดว่า ตัวประกันจำนวนหนึ่งถูกสังหารด้วยกระสุนของ IDF เอง ไม่ใช่ของฮามาส
รถยนต์ที่ไหม้เกรียม ศพที่ถูกเผาจนจำแทบไม่ได้ และหลุมระเบิดที่ลึกเกินกว่าที่ฮามาสจะสร้างได้ด้วยอาวุธในมือ คือหลักฐานอันโหดร้ายที่ตอกย้ำว่า ความตายจำนวนไม่น้อยไม่ได้เกิดจากผู้ก่อเหตุ แต่เกิดจาก “ฝ่ายเดียวกัน”
สิ่งนี้ไม่ใช่ข้อกล่าวหาลอย ๆ เพราะสหประชาชาติเองยืนยันว่ามีหลักฐานหนักแน่นว่า Hannibal Directive ถูกนำมาใช้จริงในวันนั้น และสิ่งที่น่าตกใจกว่านั้นคือ คำยอมรับจากปาก โยอาฟ กัลลันต์ อดีตรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล ที่พูดออกมาเองว่า เขาเป็นคนสั่งใช้คำสั่งนี้ และยังบ่นด้วยซ้ำว่า “มันถูกใช้น้อยเกินไป”
คำถามคือ ถ้าเหตุการณ์นั้นถูกนำเสนอในโลกตะวันตกว่าเป็น “9/11 ของอิสราเอล“ เพื่อเรียกคะแนนสงสารจากนานาชาติ แล้วใครกันแน่คือผู้สมควรถูกตำหนิ? การสูญเสียพลเรือนครั้งใหญ่กลับกลายเป็นวัตถุดิบในการสร้างภาพเหยื่อ ขณะที่รัฐบาลเองยังคงเดินหน้าทิ้งระเบิดถล่มกาซ่าด้วยพลังทำลายล้างเทียบเท่า “นิวเคลียร์ 6 ลูกที่ถล่มฮิโรชิมา” โดยแทบไม่สนใจว่าตัวประกันของตัวเองจะรอดหรือไม่ กระทั่งมีรายงานยืนยันว่า ตัวประกันอิสราเอลหลายคนถูกฆ่าตายจากระเบิดและกระสุนของกองทัพตนเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ความพยายามเจรจาเพื่อยุติการสังหารหมู่และแลกเปลี่ยนตัวประกันกลับถูกทำลายลงซ้ำแล้วซ้ำเล่าในนาทีสุดท้าย นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูปฏิเสธข้อเสนอที่ทีมเจรจาของเขาเองร่างขึ้น และในเวลาเดียวกันก็สั่งลอบสังหารแกนนำเจรจาฮามาสอย่าง อิสมาอิล ฮานิยะห์ บนแผ่นดินอิหร่าน รวมถึงความพยายามโค่นล้มทีมเจรจาทั้งหมดในกาตาร์ เหล่านี้สะท้อนถึงสงครามที่ไม่เหลือกฎเกณฑ์สากลใด ๆ ไว้ให้ยึดถือ
โศกนาฏกรรมวันที่ 7 ตุลาคม จึงไม่ได้เป็นเพียง “การโจมตีของฮามาส” อย่างที่ถูกโหมกระพือ หากแต่เป็นภาพสะท้อนของรัฐที่พร้อมจะฆ่าพลเมืองตัวเอง เพียงเพื่อไม่ให้ตกเป็นตัวประกัน และพร้อมใช้โศกนาฏกรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด
#อิสราเอลไม่เคยล่วงรู้แผนมาก่อน ?
การโจมตีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2023 ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นความล้มเหลวทางทหารและข่าวกรองครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล หลายคนในกองทัพต้องเสียเก้าอี้ แต่มีเพียงคนเดียวที่ยังยึดเก้าอี้ไว้เหนียวแน่น นั่นคือเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีผู้ไม่เคยยอมรับว่าตนเองพลาดอะไรเลย
แต่เสียงวิจารณ์ในอิสราเอลกลับดังขึ้นทุกวัน หลายฝ่ายเชื่อว่า เนทันยาฮูนี่แหละคือ “ตัวละครหลัก” ของความล้มเหลว เพราะก่อนที่ฮามาสจะบุกทะลวงชายแดน เขาได้รับสัญญาณเตือนมานับครั้งไม่ถ้วน ข้อมูลข่าวกรองที่ลงรายละเอียดชัดเจน รายงานพิเศษที่ส่งถึงโต๊ะทำงานของผู้ใหญ่ในรัฐบาล ทุกอย่างถูกเมินเฉยเพราะความมั่นใจในเทคโนโลยีสอดแนมอันล้ำสมัย
เรื่องนี้ไม่ต่างอะไรกับบทเรียนเก่า ๆ เช่น สงครามยมคิปปูร์ปี 1973 ที่อิสราเอลเคยเจ็บมาแล้ว แต่ครั้งนี้ความผิดพลาดถูกขยายใหญ่ขึ้น เพราะรัฐบาลดันพยายามสร้างภาพว่าถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทว่าหลักฐานกลับชี้ชัดว่า “รู้ แต่ไม่ทำ”
เอกสารที่ชื่อ “Jericho Wall” และคำเตือนหลายฉบับวางกองอยู่ในแฟ้มข่าวกรองนานก่อนวันเกิดเหตุ แต่ถูกมองข้าม เพราะผู้มีอำนาจมั่นใจว่ากำแพงเทคโนโลยีของตนแข็งแกร่งพอ ยาอีร์ ลาพิด ผู้นำฝ่ายค้าน ยังเล่าว่า ทุกครั้งที่เขาพยายามเตือนว่านโยบายของเนทันยาฮูกำลังทำให้อำนาจการป้องปรามของอิสราเอลอ่อนลง นายกฯ กลับแสดงสีหน้า “เบื่อหน่ายและไม่ใส่ใจ” ราวกับเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในจังหวะที่เนทันยาฮูเองกำลังเจอคดีทุจริตล้อมคอก การพิจารณาคดีถูกนัดยาวตลอดเดือนตุลาคม แต่แล้วโชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อการโจมตี 7 ตุลาคม ทำให้คดีถูกเลื่อนอย่างไม่มีกำหนด เนทันยาฮูใช้เหตุผลด้าน “ความมั่นคง” และ “ภารกิจนายกรัฐมนตรี” เป็นเกราะป้องกันชั้นดี หลายครั้งเขายังสั่งการปฏิบัติการทางทหารตรงกับวันที่ศาลนัด ราวกับจะตอกย้ำว่า งานของผู้นำสำคัญกว่าความยุติธรรม
คำถามใหญ่จึงไม่ได้อยู่ที่ว่า “อิสราเอลรู้หรือไม่รู้ล่วงหน้า” หากแต่อยู่ที่ว่า ใครกันแน่ที่เลือกจะ “ไม่ฟัง” และใครกันที่ได้ประโยชน์จากความเงียบงันครั้งนั้น
#ฮามาสก่อการโหดร้ายไร้ความเป็นมนุษย์?
หนึ่งในคำกล่าวอ้างที่เลวร้ายที่สุดของวันที่ 7 ตุลาคม 2023 คือ “ทารกถูกตัดศีรษะ 40 คน” เรื่องนี้แพร่สะพัดทั่วโลก ทั้งที่เป็นเพียงข่าวลือในสนามรบ ต่อมารัฐบาลอิสราเอลก็ยอมรับเองว่าไม่สามารถยืนยันได้ แม้แต่อดีตประธานาธิบดีโจ ไบเดนยังเคยอ้างว่าเห็นภาพด้วยตาตนเอง ก็ต้องถอนคำพูดในภายหลัง สื่อใหญ่อย่าง The Guardian และ Reuters ยืนยันว่า เรื่องนี้มาจากคำให้การของทหารเพียงคนเดียวและไม่เคยมีหลักฐานภาพหรือการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์
ความจริงคือ เด็กที่เสียชีวิตในวันนั้นมีเพียง มิล่า โคเฮน (Mila Cohen) วัย 10 เดือนที่ถูกลูกหลง ขณะที่เด็กกาซ่านับหมื่น (บางรายงานบอกว่าอาจถึงหลักแสน) กลับถูกสังหารจากอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก
ภาพเด็กปาเลสไตน์ไร้ชีวิต ศีรษะขาด หรือถูกบดขยี้ ถูกเผยแพร่เต็มโซเชียล ทว่าสองปีผ่านไปยังไม่เคยมีหลักฐานใด ๆ ยืนยันว่า “ฮามาสตัดศีรษะทารก”
ข้อกล่าวอ้างสุดช็อกอีกประการ ซึ่งแพร่โดยเจ้าหน้าที่อิสราเอลอย่างไม่มีหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์หรือพยานยืนยัน คือการที่ฮามาสโยนเด็กเข้าไปในเตาอบ เรื่องนี้การสอบสวนอิสระโดยหนังสือพิมพ์ Haaretz และ The Washington Post ไม่พบหลักฐานการกระทำโหดเหี้ยมเช่นนี้ ภาพดังกล่าวจึงทำหน้าที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อทางจิตวิทยามากกว่าข้อเท็จจริง
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงคืออิสราเอลได้ใช้ฟอสฟอรัสขาวในพื้นที่ชุมชนของกาซ่าและเลบานอน ทำให้เกิดแผลไหม้สาหัสและไฟไหม้ ซึ่งมีการบันทึกโดยองค์กรสิทธิมนุษยชน
ข้อกล่าวหาอื่น ๆ เช่นการฆ่าสตรีมีครรภ์และทารกในครรภ์ มาจากประวัติศาสตร์อันโหดร้ายของอิสราเอลเอง เช่น ในเหตุการณ์ Deir Yassin ปี 1948 มีทารกถูกโยนลงเตาอบ และในเหตุการณ์ Sabra และ Shatila ปี 1982 เกิดการฆ่าสตรีมีครรภ์ อิสราเอลจึงสะท้อนอาชญากรรมของตนไปยังเหยื่อ เป็นธีมที่ปรากฏซ้ำตลอดข้อกล่าวหา
นอกจากนี้ยังมีเรื่อง “ฮามาสข่มขืนผู้หญิงก่อนฆ่า” เจ้าหน้าที่อิสราเอลและสื่อหลายครั้งกล่าวหาฮามาสเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ แต่หน่วยงานสหประชาชาติและผู้สังเกตการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนยืนยันว่า ไม่มีหลักฐานยืนยัน ข้อสรุปของ UN (OCHA ธ.ค. 2023) ระบุเพียง “มีเหตุผลเชื่อว่าอาจเกิดการใช้ความรุนแรงทางเพศ” โดยพึ่งพาพยานที่ไม่ถูกยืนยันและขาดหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์
พยานสำคัญสองรายที่ถูกอ้างเป็นหลักฐาน ถูกพิสูจน์แล้วว่าไม่ถูกต้อง คนแรก Chaim Otmazgin สรุปจากการเห็นผู้หญิงอิสราเอลเสียชีวิตบางส่วนเปลือย และต่อมาพบว่าเป็นการเคลื่อนศพโดยทหารเพื่อความปลอดภัย ส่วนพยานรายที่สอง Yossi Landau อธิบายว่าพบผู้หญิงมีครรภ์ แต่ Otmazgin ไม่เห็นตามนั้น ทั้งหมดถูกเผาไหม้จนไม่สามารถระบุชัด
หลายคำกล่าวหาเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศมาจากองค์กร ZAKA ซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยว่าจัดการศพผิดวิธีและปนเปื้อน อีกทั้งองค์กรกำลังใกล้ล้มละลาย และผู้ก่อตั้งบางคนลาออกเพราะข้อกล่าวหาเรื่องข่มขืนและอนาจาร
ความรุนแรงทางเพศเกิดขึ้นจริง แต่เเกิดขึ้นภายใต้การควบคุมของอิสราเอล หลังปฏิบัติการของฮามาสมีคลิปจากคุก Sde Teiman เผยแพร่ทั่วโลก แสดงให้เห็นทหารอิสราเอลข่มขืนชายปาเลสไตน์ รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้อิสราเอลสอบสวนกรณีดังกล่าว แต่ชาวอิสราเอลกลับโกรธเคียงต่อแนวคิดเรื่องความรับผิดชอบ จัดการชุมนุมรุนแรงสนับสนุน “สิทธิในการข่มขืน”
สองปีผ่านไป โลกยังจดจำเรื่องเล่าที่ถูกสร้างขึ้นมากกว่าความจริง เด็กและประชาชนคนปาเลสไตน์นับไม่ถ้วนถูกทำให้ตายและทรมาน เรื่องจริงนี้ต่างหากที่ควรถูกจดจำ
#ฮามาสต้องปล่อยตัวประกัน แล้วตัวประกันชาวปาเลสไตน์ล่ะ?
เมื่อโลกตะโกนพร้อมกันว่า “ฮามาสต้องปล่อยตัวประกัน” ภาพที่คนส่วนใหญ่นึกถึงคือผู้หญิง เด็กหรือผู้สูงอายุที่ถูกกักขังอยู่ในความมืดมิดของกาซ่า แต่หากย้อนกลับไปดูตัวเลขจริง ๆ เรื่องนี้กลับซับซ้อนกว่านั้น
วันที่ 7 ตุลาคม 2023 มีผู้ถูกจับไปราว 240 คน ตามตัวเลขจากรัฐบาลอิสราเอลเอง ในจำนวนนั้นเกือบ 40 คนเป็นทหารประจำการ หลายสิบคนเป็นกองหนุนที่เคยผ่านสนามรบมาแล้ว ครึ่งหนึ่งเป็นชาวต่างชาติหรือถือสองสัญชาติ บางคนเป็นแรงงานจากไทย เนปาล ฟิลิปปินส์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพเลย แต่ก็มีชาวอเมริกัน อังกฤษ รัสเซีย และฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อยที่เคยผ่านการฝึกกับ IDF มาแล้ว
เวลาผ่านไป ตัวประกันที่เหลืออยู่ในกาซ่า ณ ตอนนี้ ส่วนใหญ่คือชายหนุ่มวัยเกณฑ์ทหาร รวมทั้งทหาร IDF ที่ได้รับการยืนยันว่าถูกจับจริง ๆ ส่วนเด็ก ผู้หญิง ผู้สูงอายุ และแรงงานต่างชาติถูกปล่อยตัวหรือแลกเปลี่ยนไปหมดแล้วตั้งแต่ปลายปี 2023 พูดอีกอย่างหนึ่งคือ ตัวประกันที่เหลืออยู่ตอนนี้แทบทั้งหมดคือ “กำลังรบ” ของอิสราเอล
แต่เมื่อมองกลับไปที่อีกด้านหนึ่ง คำว่า “ตัวประกัน” ดูเหมือนจะเปลี่ยนความหมายไปโดยสิ้นเชิง อิสราเอลเองกำลังกักขังชาวปาเลสไตน์ในสเกลมหาศาล จนทำให้ตัวเลขตัวประกันของฮามาสกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย
ข้อมูลจาก DCIP และกรมราชทัณฑ์อิสราเอลระบุว่า ณ กลางปี 2025 มีเด็กปาเลสไตน์กว่า 360 คนในเรือนจำ และกว่า 40% ถูกขังโดยไม่มีการตั้งข้อหาอะไรเลย
ที่ร้ายไปกว่านั้น UN และ NGO อิสราเอลยืนยันว่ามีชาวปาเลสไตน์มากกว่า 10,000 คนอยู่หลังลูกกรงในระบบเรือนจำทางการ และกว่า 3,500 คนยังไม่เคยได้รับการไต่สวนคดีใด ๆ ขณะที่อีกจำนวนมาก “หายสาบสูญ” ไปตามค่ายทหารต่าง ๆ และนี่ไม่ใช่แค่การกักขัง แต่ยังมีรายงานว่าอย่างน้อย 75 คน รวมถึงเด็กวัย 17 ปี เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม
หลักฐานการทรมานและการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในเวสต์แบงก์เพียงแห่งเดียว มีผู้ถูกจับกุมเพิ่มกว่า 18,000 คนในช่วงเวลาไม่ถึงสองปีที่ผ่านมา
ดังนั้น เมื่อโลกย้ำว่า “ฮามาสต้องปล่อยตัวประกัน” มันก็สะท้อนคำถามกลับไปยังอิสราเอลด้วยว่า แล้วตัวประกันชาวปาเลสไตน์นับหมื่นที่อยู่ในคุกของอิสราเอล ใครจะปล่อย?
การเรียกร้องให้ปล่อยทหารอิสราเอลไม่กี่สิบคน ฟังดูแทบไม่มีน้ำหนักเลยเมื่อเทียบกับการที่ทั้งสังคมปาเลสไตน์ถูกจองจำอย่างเป็นระบบมายาวนานกว่าทศวรรษ
#ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์?
ทุกครั้งที่คำถามถูกโยนออกไปว่า “อิสราเอลกำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์หรือไม่” คำตอบจากนักการเมืองไซออนิสต์และผู้มีชื่อเสียงในสื่อก็มักจะเหมือนเดิม ราวกับท่องบท พวกเขาปัดตัวเลขผู้เสียชีวิตว่าไม่น่าเชื่อถือ เพราะมาจาก “กระทรวงสาธารณสุขของฮามาส” แม้กระทั่งสำนักข่าวใหญ่ระดับโลกอย่าง BBC ก็ยังนำคำอธิบายนี้มาใช้
แต่ความจริงที่น่าขันก็คือ ตัวเลขที่ถูกกล่าวหาว่า “บิดเบือน” นั้น กลับตรงกับรายงานอิสระมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุโจมตีหรือการบุกยึดกาซ่าที่ผ่านมาในรอบหลายปี ข้อมูลเหล่านี้ถูกใช้ยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นหลักฐานที่น่าเชื่อถือยิ่งกว่าที่ผู้ปฏิเสธยอมรับ
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนมกราคม 2024 เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) มีคำตัดสินว่า การกระทำของอิสราเอลในกาซ่าเป็นการกระทำที่ “มีลักษณะอาจเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์“ พร้อมทั้งมีคำสั่งมาตรการชั่วคราวเพื่อป้องกันไม่ให้ความเลวร้ายดำเนินต่อไป คดีที่แอฟริกาใต้ยื่นฟ้องอิสราเอลชี้ชัดถึงการสังหารหมู่พลเรือน การบังคับอพยพ และการทำลายโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่
ฝ่ายสนับสนุนอิสราเอลยังคงยึดเกาะอยู่กับคำว่า “อาจจะ” เพื่อใช้เป็นช่องทางปฏิเสธ แม้จะมีคำพูดจากปากผู้นำอิสราเอลเองที่แทบไม่เหลือพื้นที่ให้ตีความ เบนจามิน เนทันยาฮู พูดถึงการฆ่า “อามาเล็ก“ รัฐมนตรีกลาโหม โยอาฟ กัลลันต์ เรียกชาวปาเลสไตน์ว่า “สัตว์มนุษย์” และสมาชิกรัฐสภาอีกมากที่เอ่ยถึงการกวาดล้างอย่างสิ้นเชิง คำพูดเหล่านี้สะท้อนเจตนาอันเปลือยเปล่า แต่ผู้ปฏิเสธยังคงดิ้นรนหาข้ออ้างปกป้อง
และแล้วสิ่งที่ยากจะปฏิเสธก็เกิดขึ้นเมื่อสมาคมนักวิชาการด้านการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นานาชาติ (IAGS) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีผู้เชี่ยวชาญด้าน Holocaust รวมอยู่ด้วย ได้ลงมติว่าอิสราเอลกำลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซ่า จากสมาชิกกว่า 500 คน มีเกือบ 30% ร่วมโหวต และกว่า 86% ของผู้โหวตเห็นชอบกับมตินี้ กระทรวงการต่างประเทศอิสราเอลตอบกลับทันควันว่า นี่คือ “คำโกหกของฮามาส” และเรียกมันว่าเป็น “การใส่ร้ายด้วยเลือด”
ล่าสุด รายงานจากทูตพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติยิ่งทำให้ความจริงกระจ่างชัดขึ้นอีก โดยระบุว่า การกระทำของอิสราเอลในกาซ่ามี “องค์ประกอบที่เข้าเงื่อนไขการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ไม่เพียงแต่การสังหารพลเรือนจำนวนมหาศาล แต่ยังรวมถึงการบังคับอพยพ การทำลายระบบสาธารณูปโภค การปิดกั้นอาหาร น้ำ และยารักษาโรค ทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขที่ทำให้กลุ่มประชากรหนึ่งถูกทำลายทั้งร่างกายและชีวิตประจำวัน
เมื่อพิจารณารายงานเหล่านี้ จากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ สมาคมนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญ ไปจนถึงสหประชาชาติ คำว่า “ไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงวลีที่ใช้ปิดหูปิดตาตัวเอง มากกว่าจะเป็นคำอธิบายความจริงในกาซ่าที่โลกกำลังมองเห็นอย่างชัดเจน
#ไม่มีความอดอยาก?
หนึ่งในภาพลวงตาที่น่าขมขื่นที่สุดของโศกนาฏกรรมปาเลสไตน์ คือการที่มีความพยายามตีตราหลักฐานว่าทุกภาพ ทุกคลิป คือการจัดฉาก ทั้งที่โลกเห็นชัดเจนว่าผู้คนกำลังตายจริง ๆ โดยเฉพาะภาพเด็กในกาซ่าที่ซูบผอมเพราะขาดอาหารที่ปรากฏต่อสายตาชาวโลก ทำให้เสียงปฏิเสธและการลดทอนความเป็นมนุษย์ก็ยิ่งดังขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
ทั้งๆ ที่จริง ๆ แล้วข้อกล่าวหาว่าเกิด “ความอดอยาก” ไม่ได้มาจากฮามาส แต่จากองค์กรระหว่างประเทศเอง รายงานของ The Integrated Food Security Phase Classification (IPC, สิงหาคม 2025) ระบุชัดว่า กาซ่ากำลังเผชิญภาวะอดอยากเพราะการปิดล้อมของอิสราเอล รวมถึงการทำลายเกษตรกรรมและการกีดกันอาหารเข้าสู่พื้นที่ ขณะเดียวกัน WFP และ UNICEF ต่างชี้นิ้วว่า นี่คือ “การทำให้หิวตายโดยเจตนา”
การจะประกาศว่าพื้นที่หนึ่งกำลังเผชิญภาวะ “ความอดอยาก” ไม่ใช่เรื่องเล็ก มันต้องผ่านเงื่อนไขโหดร้ายสามข้อ: ผู้คนขาดอาหารอย่างรุนแรง เด็ก ๆ ทุพโภชนาการเฉียบพลัน และมีคนล้มตายจากความหิวโหย ที่ผ่านมาหลักฐานทุกข้อครบถ้วนแล้ว
ที่น่าขนลุกกว่านั้นคือ นี่ไม่ใช่ “ผลข้างเคียง” แต่เป็นแผนที่อยู่ในวาระของอิสราเอลตั้งแต่แรก และโลกตะวันตกก็รีบส่งสัญญาณสนับสนุนทันที เพียงไม่ถึงเดือนหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม นายกฯ อังกฤษ เคียร์ สตาร์เมอร์ ออกมาพูดว่าอิสราเอล “…มีสิทธิ…” จะตัดไฟตัดน้ำในกาซ่า หลังรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลประกาศปิดล้อม “ทั้งหมด” รวมถึงอาหารและน้ำด้วย และแม้จะมีอาหารเล็ดลอดเข้ามา แต่ก็ถูกส่งไปยังจุดที่ห่างไกลจากชุมชนชาวบ้าน ต้องเดินเท้าเปล่าเป็นชั่วโมงกว่าจะไปถึง
ถึงอย่างนั้น ที่นั่นก็ไม่ใช่ “พื้นที่ปลอดภัย” หากเป็นสนามประหาร ชาวปาเลสไตน์ที่อ่อนแรงถูกปืนไรเฟิลเล็งมาจากแนวสไนเปอร์อิสราเอล แถมยังมีแก๊งมอเตอร์ไซค์อเมริกันชื่อ “Infidels Motorcycle Club” ที่ถูกจ้างมาเป็นทหารรับจ้าง ช่วยกำหนด “เขตมรณะ” ที่มองไม่เห็น และเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา ผู้คนมีเวลาเพียงไม่กี่นาทีเก็บอาหาร ก่อนเสียงปืนแตกขึ้นกลางความหิวโหย กลายเป็นภาพ “Hunger Games” ของชีวิตจริงที่โลกไม่กล้าหันมอง
ที่โหดร้ายที่สุดคือ ทางเดินเน็ตซาริม (Netzarim Corridor) ตั้งแต่ปลายพฤษภาคม มีชาวปาเลสไตน์ถูกสังหารแล้วกว่า 500 คน และบาดเจ็บกว่า 4,000 คน เพียงเพราะพวกเขาเดินออกไปหาอาหารเล็กน้อยเพื่อยื้อชีวิต
นี่ไม่ใช่ความอดอยากธรรมชาติ แต่คือความอดอยากที่ถูกออกแบบ และกำลังกลายเป็นรอยแผลถาวรในมโนสำนึกมนุษยชาติ คำถามคือ โลกจะยังกล้าหลับตาแล้วบอกว่า “ไม่มีความอดอยาก” อยู่อีกหรือไม่?
#ถ้าไม่มีฮามาสโลกคงสงบ?
“ถ้าไม่มีฮามาส ปาเลสไตน์กับอิสราเอลก็คงมีสันติภาพ” ประโยคนี้ถูกพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ประวัติศาสตร์กลับบอกเล่าอีกแบบหนึ่ง
ลองย้อนกลับไปปี 2018 สิครับ นักข่าวและกวีชาวปาเลสไโพสต์เฟซตน์ได้โพสต์เฟซบุ๊กชวนผู้ลี้ภัยชาวปาเลสไตน์ออกมาเดินขบวนอย่างสงบ เรียกร้องสิทธิ์กลับบ้านเกิด พวกเขาไม่มีอาวุธ ไม่มีจรวด ไม่มีธงของฮามาส มีเพียงเสียงตะโกนและฝ่าเท้าที่ก้าวไปข้างหน้า การเดินขบวนนี้กลายเป็น “Great March of Return” ที่จัดทุกวันศุกร์ เหมือนเป็นพิธีแห่งความหวัง
แต่ความหวังนั้นกลับถูกยิงดับกลางอากาศ รายงานของสหประชาชาติยืนยันว่า กองกำลังอิสราเอลสังหารผู้ประท้วง 183 คนในปีเดียว และบาดเจ็บอีกกว่าหกพันราย ด้วยกระสุนจริง ไม่เว้นแม้แต่เด็ก แพทย์ นักข่าว หรือผู้พิการ รวมสองปีมีผู้เสียชีวิตกว่า 220 คน พยานเล่าว่า มือปืนซุ่มยิงเล็งไปที่พลเรือนที่มีสัญลักษณ์ชัดเจน การเดินขบวนสันติกลายเป็นการสังหารหมู่ ไม่ใช่เพราะฮามาส แต่เพราะ “กฎการยิง” ของอิสราเอลเอง
แล้วในเวสต์แบงก์ล่ะ? ที่นั่นฮามาสไม่ได้มีอำนาจ แต่ความรุนแรงก็ยังไม่เคยลดลง นับจากวันที่ 7 ตุลาคม 2023 เป็นต้นมา สหประชาชาติรายงานว่ามีชาวปาเลสไตน์กว่า 1,000 คนถูกฆ่า และหลายหมื่นถูกไล่ออกจากบ้านด้วยการบุกโจมตี รื้อถอน และการโจมตีจากผู้ตั้งถิ่นฐาน
รายงานของ OCHA และรอยเตอร์ชี้ชัดว่า ปี 2025 คือปีที่ตัวเลขการสังหารและการอพยพทุบสถิติสูงสุด และแม้แต่ก่อนหน้านั้น หลักฐานก็ชี้ว่า การกดขี่ไม่เคยหยุด เพียงแต่เงียบเกินกว่าจะเป็นข่าวพาดหัว คำถามจึงชัดขึ้นทุกทีว่า ปัญหาจริง ๆ คือ “ฮามาส” หรือคือ “การยึดครองและระบอบแบ่งแยก”?
ในช่วงทศวรรษ 1980 โลกเคยมีฉันทามติร่วมกันว่าระบอบการปกครองแบบแยกสีผิวในแอฟริกาใต้นั้นต้องถูกล้มลง ไม่มีใครปกป้องรัฐที่ตั้งอยู่บนการกดขี่และความไม่เท่าเทียม คำขวัญเรียกร้องให้รื้อถอนรัฐนั้นเคยเป็นแรงบันดาลใจของผู้คนทั่วโลก
วันนี้ ภาพสะท้อนนั้นกลับมาอีกครั้ง แต่จุดโฟกัสเปลี่ยนมาเป็นอิสราเอล หากไม่มีการยึดครอง หากไม่มีระบอบอพาร์ไธด์ หากไม่มีรัฐที่สร้างบนแนวคิดความเหนือกว่าของเชื้อชาติหนึ่งเหนืออีกเชื้อชาติหนึ่ง สันติภาพก็อาจไม่ใช่เพียงความฝัน
รัฐต่าง ๆ ไม่ได้มี “สิทธิ์โดยกำเนิดที่จะดำรงอยู่” แต่ผู้คนต่างหากที่มีสิทธิ์จะมีชีวิต มีบ้าน มีศักดิ์ศรี และนั่นคือสิ่งที่โลกกำลังตระหนักชัดขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ปัญหาไม่ใช่การมีอยู่ของชาวปาเลสไตน์ หรือแม้แต่ของฮามาส แต่คือความรุนแรงที่ฝังรากอยู่ในโครงสร้างของรัฐอิสราเอลเอง
เรียบเรียงโดย ดร. ศราวุฒิ อารีย์ ผู้อำนวยการศูนย์มุสลิมศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย