มุสลิมแห่รับของบริจาคของซาลเจ้า สะท้อนการขาดศักยภาพการเป็นมือบน ร้องรับการช่วยเหลือจากศาสนิกอื่น
อับดุลกอเดส มัสแหละ ได้โพสต์สะท้อนภาพมุสลิมแห่รับบริจาคของศาลเจ้า
สะเทือนคำสอนเรื่องมือบน…
อิสลามเราบอกว่าสอนทุกเรื่อง เศรษฐกิจ สังคม ฯลฯ โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจ ได้บอกไว้หลายประการ ห้ามดอกเบี้ย อนุมัติเรื่องค้าขาย …ส่วนเรื่องสังคมสงเคราะห์ อิสลามมีเรื่องซะกาต(ทานบังคับ) การซอดาเกาะฮ์
การซอดาเกาะฮ์อิสลามก็สอนให้มุสลิมเป็นมือบน อย่าเป็นมือล่าง นั้นหมายความว่า มุสลิมจงเป็นผู้ให้….การเป็นผู้ให้ก็สอนอีกว่า ให้มือขวา อย่าให้มือซ้ายรู้ นั้นก็หมายความว่า การให้ ไม่ต้องโฆษณา บอกกล่าว ไม่ต้องโชว์
มาดูที่ซะกาต มุสลิมมากมายในโลกนี้ แต่ระบบซะกาตล้มเหลว มาดูในประเทศ ที่ทำได้ในระดับองค์กร ที่ชัดที่สุดคือ คณะกรรมการอิสลาม จ.เชียงใหม่ เพียงจังหวัดเดียว
ดูการสังคมสงเคราะห์ที่ท่านนบีฯเคยแสดงแบบอย่างไว้ เราไม่ค่อยเห็นการสังคมสงเคราะห์ในมุสลิมมากนัก เพิ่งมาเห็นไม่กี่ปีมานี้เอง และขอบข่ายงานสังคมสงเคราะห์ก็ไม่กว้างนัก ไม่ใช่มุสลิมไม่มีคนรวยนะครับ…
หากเรามาดูสังคมคนจีน งานสังคมสงเคราะห์เขามีมายาวนาน ความเชื่อของเขา ได้ถูกแสดงออกมาทางการทำบุญช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม มูลนิธิต่างๆเราได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กๆ การช่วยเหลือของเขาก็ครอบคุมกว้างไกล
คำสอนในความเชื่อเขาเรื่องทำบุญแล้วจะพ้นเคราะห์ภัย มันได้ผล ทำให้คนจีน ชอบทำบุญบริจาคที่ชัดเจนมาก แล้วทำกันจริงๆ
ถ้าเรากลับมาดูระบบซะกาตของเรา ศาสนาให้บริจาคเท่านี้(หนึ่งกันตัง)ในรอบหนึ่งปี เราก็จ่ายซะกาตหนึ่งกันตังกันจริงๆ คนที่มีความสามารถแทนที่จะจ่ายซะกาตยกกระสอบกันเลย กลับไม่เห็น จ่ายซะกาตแบบเทกระจาด คือ สมมุติอีดปีนี้ จัดมาเลยข้าวสารคันสิบล้อ จ่ายซะกาตแบบให้คนรับกินอยู่สบายไปหลายๆวัน
พวกเรามัวมาคิดว่า “เอาน่าเราทำบุญด้วยความบริสุทธิใจบาทเดียวก็ได้” ก็คิดแบบนี้ไง งานสังคมสงเคราะห์ถึงไม่ไปไหน
ผมไม่ได้พูดว่าการที่มุสลิมไปรับของแจก ซึ่งเป็นข้าวส่วนใหญ่ได้หรือไม่ อันนี้คนละประเด็น ในมุมศาสนา ทางด้าน “อะกีดะฮ์”ไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้ แต่ผมคุยกับคนจีน ที่เขาอยู่ในองค์กรสงเคราะห์ บอกว่า ในเรื่องของเซ่นไหว้ทางพิธีกรรม เขาไม่เอามาแจก ส่วนที่เขาแจกก็คือส่วนที่อยากจะบริจาคทำบุญ ช่วยเหลือคนยากจน
เขาเทียบเคียงกับวันตรุษอีดของเราว่า เหมือนที่มุสลิมทำบุญแจกสิ่งของนั้นแหละ เพียงแต่มุสลิมแจกเฉพาะกลุ่ม แต่พวกเขาแจกทุกคน….เงิบ…
ฟังแล้วก็หน้าชา…มันกลายมาเป็นข้อเท็จจริง สังคมมุสลิมมีกติกาเยอะ จะบริจาค จะทำบุญก็มีเงือนไขมาก หลายครั้งพบเจอกับตัวเอง….
ใหม่ๆเลย บริจาคช่วยทำอาหาร กรณีเด็ก 13 ชีวิตติดถ้ำ ถูกตรวจสอบวัตถุประสงค์ ถามเป้าหมาย มีมุสลิมติดถ้ำด้วยไหม…มันเยอะครับ
ตอนช่วยน้ำท้วม …เอาไปช่วยมุสลิมหรือเปล่า…??? คนที่บริจาคเขาไม่เคยถามว่าจะเอาไปช่วยใคร ทั้งๆที่เขารู้ว่าพวกเราเป็นองค์กรมุสลิม ฉะนั้นเวลาพวกเราช่วย ผมจะพูดกับชุมชนที่เราไปช่วยเลยว่า ในหมู่บ้านมีเพื่อนต่างศาสนิก ต้องเอามาทุกบ้าน…ส่วนตัวผมคิดว่าท่านนบีฯแสดงแบบอย่างเช่นนี้ไว้แล้ว ท่านถึงชนะใจคนได้…
เหตุการณ์ที่ยะลา เรื่องรับได้ไม่ได้ ผมไม่มองตรงนั้น เพราะสังคมที่นั้น ว่ากันจริง เขาก็รู้กันดีในความเอื่ออาทร แต่ถ้าเราเอาศาสนามาจับ งานสังคมสงเคราะห์ มันก็เป็นแบบที่เรากำลังเห็นกันอยู่
ที่สำคัญมากที่สุด เราควรจะทำความเข้าใจกันภายใน แต่เราดัน ทะเลาะกันเสียงดังทีเดียว เท่านั้นไม่พอยังส่งเสียงด่ากระทบไปถึงคนอื่นด้วย…ได้เรื่องสิครับ ผลมันตีกลับมาที่มุสลิมเสียเอง
เท่าที่ติดตามกลายเป็นอิสลามถูกด่าไปฟรีๆ มุสลิมโดนถูกว่าใจแคบ ซึ่งเราเถียงเขาไม่ออกหรอกครับ…เรื่องการบริภาษนี่เอาเข้าจริงๆ อัลลอฮ์ พระผู้เป็นเจ้าห้ามเองเลย…
ผมย้ำอีกครั้งว่า ผมมิบังอาจจะว่าใครผิด ใครถูก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้มันตบหน้ามุสลิม “ฉาด”ใหญ่เลยทีเดียว ในเรื่องการเป็นมือบน และระบบซะกาต และการซอดาเกาะห์
มันฟ้องถึงศักยภาพของมุสลิมเองที่ไม่สามารถช่วยเหลือคนยากจนของเราเองได้ ทั้งๆในพื้นที่นั้นมุสลิมมีเป็นจำนวนมาก
ผมไม่ได้ต้องการเอามุสลิมมาเปรียบกันเอง แต่มันเป็นภาพคนละภาพกันจริงๆ…
ที่เชียงใหม่ ชุมชนช้างคลาน เชิญพี่น้องต่างศาสนิกมาชิมอาหาร แต่ที่ยะลาพี่น้องมุสลิมต้องไปขอข้าวปลาอาหาร…
นี่ถ้าเราค่อยๆคุยกัน เรื่องนี้มันไม่ดังมากนัก แต่เมื่อต่างคนต่างมีเป้า มีนัยยะ รูปการณ์มันจึงมาลงแบบนี้
การช่วยเหลือกันทางด้านมนุษยธรรมมันก้าวพ้นกำแพงความเชื่อ ท่านนบีฯยังบอกว่า “แม้การช่วยสุนัขที่หิวโหย เขาจะได้เข้าสวรรค” แต่เหตุการณ์ที่ยะลา เราคงต้องฟัง องค์กรตามภาพที่เขาทำบุญ ว่าเขาเอาส่วนไหนมาทำ…และต้องฟังจากคนที่ไปรับ เขาคิด หรือมีเจตนาอย่างไร ตรงนี้เราไม่ทราบ…
แต่บอกตรงๆเรื่องนี้มันสะเทือนคำสอนเรื่องการเป็นมือบนจริงๆ โดยเฉพาะคนที่นั้น หากมุสลิมที่ไปรับคือคนยากจน ขัดสน มันคงเป็นโจทย์ใหญ่ของคนพื้นที่แล้วละว่า…
ระบบการช่วยเหลือของเราเกิดอะไรขึ้น….หรือมันมีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้…???