มท.4สั่ง ฉก.3 จังหวัด ระดม ไล่ล่า กระชั้นชิด ฟันธง “โจรใต้”ถล่มชรบ.ยะลา ยังกบดานไทย

302

แม่ทัพภาค4 สั่ง ชุด ฉก.3จังหวัด ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส กระจายกำลัง ไล่ล่า กลุ่มก่อการร้าย  โดยใช้เบาะแส จาก”กองเลือด-ผ้าพันคอ” เชื่อ มีคนเจ็บสาหัส พุ่งเป้า ค้นหาตาม”สถานพยาบาล-ร้านขายยา” ล่าสุด เชื่อกองกำลังทั้งหมด ยังกบดานในไทย ในพื้นที่อ.โคกโพธิ์ และ สะบ้าย้อย

วันที่ 8 พ.ย.62 ความคืบหน้ารติดตามคนร้ายผู้ก่อเหตุใช้อาวุธสงคราม ระดมคมกระสุนสังหาร ชรบ.บ้านลำพระยา จ.ยะลา เสียชีวิต 15 ราย โดย จนท.ตำรวจ ทหาร จาก กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้าสนธิกำลัง ไล่ล่า เชื่อว่าเป็นสมาชิกขบวนการแบ่งแยกดินแดนบีอาร์เอ็น โดยล่าสุด ได้ปล่อยตัว 1 ผู้ต้องสงสัยแล้ว หลังสอบสวนพบว่า เป็นชาวบ้าน  อ.ธารโต จ.ยะลา ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน

พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพภาคที่ 4 สั่งการให้ จนท.ชุด ฉก.ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ส่งกำลังพลทุกพื้นที่ตรวจสอบ “กุโบร์”หรือ สุสานว่ามีการฝังศพคนร้ายหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบสถานที่ต้องสงสัย สถานที่รักษาพยาบาลคนเจ็บ เพราะจากหลักฐานที่ พบกองเลือดและผ้าพันคอ ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ โดย ชุดลาดตระเวนเดินเท้าพบในเส้นทางหลบหนีของคนร้าย พบว่า มีผู้บาดเจ็บ 2-3 คน และหนึ่งในนั้นบาดเจ็บสาหัส มีการตัดไม้ทำเปลหามไปรักษาตัว

เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ค้นหมู่บ้านเป้าหมาย เทือกเขา ต.ลำพะยา ชื่อว่ามีการใช้รถยนต์หลบหนี มีแนวร่วมระดับเปอร์มูดอช่วยเหลือ ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงเชื่อว่า มีแนวร่วมบีอาร์เอ็น จบแพทย์จากประเทศเพื่อนบ้าน รับหน้าที่ดูแลรักษาพยาบาลคนเจ็บ ได้รับค่าตอบแทน เท่ากับเงินเดือนของแพทย์จากโรงพยาบาล ส่วนคนเจ็บที่อาการสาหัส จะมีหน่วยขนส่ง หรือโลจิสติสก์ นำส่งข้ามไปรักษายังประเทศเพื่อนบ้าน

ทั้งนี้หลังเกิดเหตุ กำลังทหารพรานทุกจังหวัด กระจายกำลัง ตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย สุสาน  สถานีอนามัย สถานพยาบาลเอกชน รวมทั้งร้านขายยาในพื้นที่ใกล้เคียง แต่ไม่พบเบาะแสว่ามีการนำผู้บาดเจ็บมารักษาพยาบาล

แหล่งข่าวที่มีความเข้าใจ องค์กรลับของบีอาร์เอ็น  ระบุว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า กำลังหลงทาง โดยนำปลอกกระสุน มาตรวจสอบค้นหาผู้ก่อเหตุ จากอาวสุธปืน และ สืบสวนย้อนไปถึงเหตุความรุนแรงที่ผ่านมา ทั้งที่ข้อเท็จจริง  ปืนที่ใช้ก่อเหตุเป็นปืน “กองกลาง” ของขบวนการที่ไม่ได้อยู่ประจำตัว กับแนวร่วมคนใดคนหนึ่ง และเมื่อมีการสั่งการให้ก่อเหตุ จะได้รับปืนจากแนวร่วม เมื่อเสร็จสิ้นการปฏิบัติการ จะนำปืนไปเก็บใน “กองกลาง” เพื่อรอใช้ในครั้งต่อไป

ดังนั้น ผู้ที่ใช้ปืนที่มีประวัติในการก่อเหตุ จึงไม่ใช่บุคคลเดียวกัน  และการสรุปแนวทางสอบสวนเช่นนี้ ทำให้มีการออกหมายจับ “ซ้ำซาก” ทำให้แนวร่วม แตละคนต่างมีหมายจับ 10-20 หมาย ทั้งที่ข้อเท็จจริงการก่อเหตุ อาจจะเป็นคนอื่น หรือ แนวร่วมหน้าใหม่  “กลุ่มคนหน้าขาว” ที่ไม่มีประวัติในแฟ้มของตำรวจ และทหาร

ล่าสุด หน่วยข่าวความมั่นคงรายงานให้ว่า กลุ่มคนร้ายทั้งหมดยังไม่ได้หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่ได้แยกย้ายหลบซ่อน ในพื้นที่  อ.โคกโพธิ์ อ.ยะรัง จ.ปัตตานี และ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา โดยเฉพาะ อ.สะบ้าย้อย  เป็นแหล่งกบดานสำคัญ มีเส้นทางธรรมชาติสามารถหลบหนีข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้สะดวกที่สุด