กระทรวงการคลัง ชี้ การกู้เงิน 2หมื่นล้าน จากธนาคารของรัฐ เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เป็นเรื่องปกติ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ ยืนยันยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติงานกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่เรื่องการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ปี 2562 วงเงิน 20,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสิน และ ธนาคารกรุงไทย โดยมีอายุเงินกู้ 1 ปี 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.62 ครบกำหนดชำระต้นเงินกู้ วันที่ 24 มิ.ย.64 คิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 0.15019 ต่อปี
ทั้งนี้รัฐบาลได้ตั้งงบฯปี 63 วงเงิน 3.2 ล้านล้านบาท เป็นการตั้งงบฯแบบขาดดุลต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเงินส่วนใหญ่ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างประจำข้าราชการ ไม่ใช่ไปลงทุนพัฒนาประเทศ ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกผันผวน ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง และสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจโลก
แต่จำเป็นต้องมุ่งลงทุนเพื่อพัฒนา สร้างรายได้ และรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศและเพิ่มศักยภาพของภาคเอกชนในการลงทุนและการจ้างงาน
“การกู้เงินมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและสามารถกระทำได้ เป็นเรื่องปกติ เพราะที่ผ่านมาได้กู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณมาหลายปี เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ผ่านมามีสถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศต่างแสดงความประสงค์ให้รัฐบาลกู้เงินจำนวนมาก เพราะรัฐบาลมีความมั่นคงสูง ประกอบกับช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยในท้องตลาดปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ ธนาคารก็มีสภาพคล่องสูง จึงเป็นจังหวะที่เหมาะในการกู้เงินจากสถาบันการเงินของรัฐ ขอให้พี่น้องประชาชนสบายใจได้ เพราะถึงแม้จะจัดทำงบประมาณขาดดุลและต้องมีการกู้เงินบ้าง แต่กระทรวงการคลังสามารถดูแลให้อยู่ในกรอบวินัยการคลังอย่างเคร่งครัด และในอนาคตจะพยายามจัดทำงบประมาณแบบสมดุลโดยเร็วที่สุด” นายชาญกฤชกล่าว