“จตุพร” เจ็บลึก แนะกองทัพสงบปากสงบคำ อย่าคิดมีอำนาจทำอะไรก็ได้ ลั่นต้องหยุด พูดท้าทายในสถานการณ์ละเอียดอ่อน เตือน จะเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว กร้าว! กองทัพไม่หยุด ก็เจอกันทุกวัน ชี้ยิ่งหาความจริงพฤษภา 53 ก็จะยิ่งแสนเจ็บปวด “เสื้อแดงถูกล้อมฆ่า” ถูกจับติดคุก ตาย บาดเจ็บ ส่วนคนสั่งฆ่าลอยนวลไม่มีคดีถึงศาลใดๆ
วันที่ 12 พ.ค. 2563 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการ PEACE TALK ผ่านเฟซบุ๊ค “Jatuporn Prompan – จตุพร พรหมพันธุ์” ถึงการยิงแสงเลเซอร์ข้อความ “ตามหาความจริง” โดยระบุว่า ยิ่งตามหา ยิ่งพบความจริงอันแสนเจ็บปวด
ทั้งนี้ การยิงแสงเลเซอร์ข้อความดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อคืน 10-11 พ.ค. ที่ผ่านมา และทำให้แฮชแท็ก“#ตามหาความจริง” กลายเป็นกระแสสังคม ขึ้นอันดับหนึ่งของทวิตเตอร์ มีแชร์กว่า 1 ล้าน โดยการยิงแสงเลเซอร์ข้อความนี้ พบที่แยกราชประสงค์ อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย วัดปทุมวนาราม ซึ่งเป็นพื้นที่เจ้าหน้าที่ใช้กระสุนจริงเข้าปฎิบัติการ “ขอคืนพื้นที่”การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อ พ.ค. 2553 จนทำให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตกว่า 90 รายและบาดเจ็บร่วม 2 พัน โดยหลายคดีอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของศาล

นายจตุพร กล่าวว่า การยิงแสงเลเซอร์เป็นตัวหนังสือ เพื่อรำลึกการล้อมปราบสลายการชุมนุมนั้น เป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกของประเทศไทย ขณะที่ประเทศไทยผ่านเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน และ ไม่เคยทำความจริงให้ปรากฎมาแล้ว ทั้งเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 อีกทั้ง 6 ตุลา 2519 และ พฤษภา 2535 รวมทั้ง เมษา-พฤษภา 2553
แม้มีคณะกรรมการทั้งฝ่ายการเมืองและทหารร่วมตรวจสอบ แต่ความจริงถูกปกปิดเป็นจำนวนมาก โดยคนหายกว่า 40 ชีวิตยังไม่สามารถเอาศพมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ กระทั่งปีนี้ครบรอบ 28 ปี ก็ยังไม่ได้ศพคืน อย่างไรก็ตาม ในแต่ละเหตุการณ์นั้นมักมีคำถาม ข้อสงสัยว่า จะเป็นการปราบปรามประชาชนครั้งสุดท้าย แต่ไม่เคยครั้งสุดท้ายเสียที
การยิงเลเซอร์ตามหาความจริงนั้น ถ้า พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ไม่ออกมาให้ข่าวว่า มีการทำเป็นกระบวนการ เป็นการกระทำไม่เหมาะสม ต้องใช้กฎหมายเอาผิด ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลับพยายามหลีกเลี่ยงจะพูดถึงอีก
นายจตุพร ย้ำว่า สาระสำคัญในการพูดถึงนั้น ถ้ายิ่งดิ้นมาก เหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เพราะความตายผ่านการไต่สวนสำนวนชันสูตรพลิกศพของศาลอาญาและศาลอาญากรุงเทพใต้นั้น ระบุไว้ชัดเจนว่า ความตายเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติตามคำสั่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

“เรารู้ผลลัพธ์ทางคดีว่า เป็นความตายที่สูญเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราทำหน้าที่ประคับประคองหัวใจกัน จัดงานทำบุญ อุทิศส่วนกุศล ฝ่ายผู้ถูกฆ่าติดคุกคนแล้วคนเล่า คดีก็ยังไม่จบและอยู่ในชั้นศาลมากมาย”
ส่วนคดีของผู้ฆ่า กลับไม่มีคดีใดได้เข้าสู่การพิจารณาของศาลแม้แต่คดีเดียว เพราะศาลอ้างไม่ใช้อำนาจของศาลอาญา ให้ไปต่อสู้ในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งต้องผ่านความเห็นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) แล้ว ปปช.ชี้มูลว่า ไม่มีความผิด เรื่องจึงไม่ไปถึงศาลฎีกาฯ แล้วมันก็จบลงตรงนั้น
ดังนั้น ความตายที่เกิดขึ้นกับคนเสื้อแดง มันจึงเป็นความเจ็บปวด และถูกตอกย้ำด้วยข้อหาเผาบ้านเผาเมือง โค่นล้มสถาบัน ผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ก็รู้กันว่า ความจริงคืออะไร ตนพยายามผ่อนคลายความขัดแย้งทุกครั้งว่า ไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงตายหรือฝ่ายเสื้อไหนก็เช่นกัน เมื่อมาเรียกร้องเพื่อประชาธิปไตยไม่ควรมีใครมาตายทั้งสิ้น
การเรียกร้องประชาธิปไตยเพื่อยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนนั้น มันไม่ควรจบลงด้วยการปราบปราม ประชาชน การใช้กระสุนสงครามร่วมสองแสนนัด สไนเปอร์ร่วมพันนัด มันอธิบายความจริงได้เป็นอย่างดี

“ความจริงได้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแต่โชคร้ายอยู่ที่คนตายเป็นคนเสื้อแดง ถ้าฝ่ายกองทัพหัดสงบปากสงบคำกันเสียบ้าง ไม่พูดจะตายมั้ย เพราะถ้าพูดยิ่งท้าทาย เพราะความจริงสามารถหากันได้ไปหมดในแต่ละด้าน แต่ละเรื่อง แต่ละเหตุการณ์”
นายจตุพร กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีมานี้ เราได้ทำทุกอย่างที่ทำได้ครบหมดแล้ว ทำแล้วผลลัพธ์ไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งเดินยิ่งเจ็บ ตนมักพูดเสมอว่า สู้แล้วรวยไม่เคยมีอยู่จริง มีแต่ทรยศแล้วรวยมีอยู่จริง
ดังนั้น การอยู่ท่ามกลางความซื่อสัตย์ต่อการต่อสู้นั้น การใช้ชีวิตเป็นเรื่องความยากลำบาก ตนพูดเสมอว่า ไม่ได้อยู่ท่ามกลางความอาฆาตแค้น แต่บทเรียนการปราบคนเสื้อแดงไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศนี้
“การมองประชาชนเป็นศัตรูทั้งที่มือเปล่า ใช้สไนเปอร์ ยิงเหมือนจัดการกับศัตรูต่างชาติ ใช้อาวุธสงครามยิงอย่างบ้าคลั่ง ทั้งหมดทั้งปวงยิ่งตามหาความจริงมากเท่าไร ก็เจ็บปวดมาก เพราะผลลัพธ์ไม่เปลี่ยน ส่วนการยิงแสงเลเซอร์ตามหาความจริงในพื้นที่การสลายการชุมนุมนั้น การใช้คำพูดกระชับพื้นที่ ขอพื้นที่คืน กระชับวงล้อม หรือคำใดก็ตาม มันคือการล้อมฆ่ากันทั้งนั้น”
รวมทั้งย้ำว่า ดังนั้น โฆษกกระทรวงกลาโหม ต้องระมัดระวัง ในสถานการณ์อันละเอียดอ่อนแบบนี้ ถ้าคิดว่า วิธีการนำเสนอในปัจจุบันนั้น คิดว่าอำนาจสามารถทำอะไรก็ได้ ซึ่งตนมองว่าไม่ใช่ ถ้าท้ากันไปมา น้ำผึ้งหยดเดียวเอาไม่อยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้

อีกทั้งระบุว่า ถ้ากองทัพไม่หยุด ก็เจอกันทุกวัน ไม่มีปัญหา ตนเป็นประธาน นปช. แม้อยู่สภาพการณ์แบบนี้ ตนคงไม่นั่งพับเพียบ แล้วไม่แสดงความคิดเห็นอะไรในเหตุการณ์ที่มีหน้าที่ต้องแสวงหาความยุติธรรมให้จนกว่าจะหาชีวิตไม่ เพราะแค่ข้อความจากเลเซอร์น้อยกว่าความตายจากกระบอกปืน
“อย่าเอาความรู้สึกคนอคติมาว่ากัน เอาการตัดสินของศาลมาว่ากันดีกว่า ซึ่งเป็นไปด้วยความจริง หากผมพูดด้วยความคับแค้นแล้ว จะโดนกันหมดตั้งแต่หัวแถวถึงปลายแถวในกองทัพ แต่ผมเดินเลยความคับแค้นนี้ เพียงต้องการไม่ให้ความตายของคนเสื้อแดงเกิดกับใครอีก”
ส่วน พล.อ.สมศักดิ์ รุ่งสิตา เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่ได้สั่งให้ทำโพล เลิก พรก.ฉุกเฉินหรือไม่นั้น ตนยืนยันมาตลอดว่า สถานการณ์โควิด ทีมแพทย์เอาอยู่ วันนี้มีผู้ติดเชื้อหลักหน่วย แล้วจะเอาคนกว่าหกสิบล้านไปเดือดร้อนด้วยทำไม เราจึงต้องให้เกิดการระบายคลายความอึดอัด
“ควรยกเลิก พรก.ฉุกเฉินให้ประชาชนใช้ชีวิตปกติ ไม่เช่นนั้นรัฐบาลจะเอาไม่อยู่กับความหิวโหย ซึ่งผมเตือนอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ขอพล.อ.ประยุทธ์ อย่าฟังคนเชียร์ให้มากนัก เพราะคนเชียร์ ยิ่งบีบน้ำตาแล้ว คนพวกนี้เมื่อถึงวันหนึ่งมักจะไปก่อนเพื่อนเสมอ”

นอกจากนี้ ยังตอบโต้นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. พปชร.เกี่ยวกับการยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ซึ่งพูดว่านายจตุพร อย่ามายุให้รุ่นน้องก่อม็อบถือเป็นนักการเมืองไม่ได้ และลงพื้นที่ยังไม่พบประชาชนเรียกร้องให้ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน
นายจตุพร โต้ว่า ตนไม่รู้จักนายสิระ เป็นส่วนตัว และไม่ได้หวั่นเกรงคนนี้แต่อย่างใด คนเป็น ส.ส.ไม่น่าคิดจะมีท่วงทำนองแบบนั้น ไม่น่ามีความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น ควรทำตัวให้เล็กกว่าประชาชน เพราะไม่มีใครใหญ่กว่าประชาชน และคุณค่าของคนไม่ได้อยู่ที่เป็น ส.ส.หรือไม่
“การยุให้รุ่นน้องก่อม็อบนั้น ผมไม่เคยยุใคร ถ้านำจะนำเอง อย่ามาพูดเรื่องคุกกับผม การต่อสู้ทางการเมืองก็แตกต่างกันมาก ดังนั้น การกล่าวหามานั้นเป็นความเท็จสิ้นเชิง เพราะคุณไม่รู้จักกระบวนการต่อสู้ของประชาชน”