สำนักข่าวอิศรา รายงาน บรรยากาศวันเฉลิมฉลองอีฎิ้ลฟิตรี หรือวันฮารีรายอ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1441 เมื่อสิ้นสุดเดือนรอมฎอนปีนี้ที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค.63 มีอิสลามิกชนเดินทางไปร่วมละหมาดตามมัสยิดต่างๆ อย่างหนาตา โดยมีการคัดกรองและเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ตั้งแต่เช้าตรู่ มุสลิมทุกคนสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าใหม่ เพื่อไปเยี่ยมกุโบร์ (สุสาน) และอ่านอัลกุรอานแด่ผู้ที่ล่วงลับ จากนั้นก็ไปร่วมละหมาด ณ มัสยิดของแต่ละชุมชน ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานีมีพี่น้องมุสลิมทั้งชายและหญิงไปร่วมละหมาดรายอจำนวนมาก ทุกคนสวมหน้ากากอนามัยและหน้ากากผ้า นำผ้าละหมาดและผ้ารองละหมาดส่วนตัวมา อาบน้ำละหมาดมาจากที่บ้าน การเข้าพื้นที่ละหมาดต้องผ่านจุดคัดกรอง มีแบ่งโซนทางเข้าแยกชายและหญิง มีการวัดอุณหภูมิ ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ลงทะเบียนและรับหมายเลขบัตรสำหรับจุดละหมาด ซึ่งแต่ละจุดห่างกัน 1-2 เมตร
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-2-20.jpg)
ภายในมัสยิดสามารถรองรับมุสลิมได้จำนวน 612 คน นอกเหนือจากนั้นให้ละหมาดด้านนอกบริเวณริมสระน้ำ ลานด้านหน้า และด้านข้าง ลานหญ้าใต้ต้นไม้ ลานจอดรถ และริมรั้วด้านติดถนนใหญ่ เริ่มละหมาดเวลา 07.30 น. ใช้เวลาไม่นาน เมื่อจบการละหมาด ไม่มีการจับมือให้สลามกัน ละหมาดเสร็จก็แยกย้ายกันกลับ ทุกมัสยิดปฏิบัติเหมือนกันหมด รวมถึงมัสยิดทรายขาว อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เสมือนหนึ่งเป็น “วิธีใหม่” หรือ new normal ของการปฏิบัติศาสนกิจ
เกือบทุกมัสยิดจะมีการแจกเงินรายอที่ได้จากการรับบริจาคของผู้มาร่วมละหมาด แล้วแบ่งปันอย่างเท่าๆ กันให้แก่เด็กๆ ในชุมชนนั้นๆ ท่ามกลางรอยยิ้มและเสียงหัวเราะสดใส แม้ทุกคนยังอยู่ในสถานการณ์โรคระบาดและความไม่สงบที่ยังไม่จางหายไป ที่ อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส มีการจัดพิธีละหมาดรายอรวมกันที่สนามกีฬามหาราช จากนั้นนายอำเภอได้มอบข้าวสารชุดละ 1 กิโลกรัมสำหรับผู้ที่มาละหมาดทุกคน เพื่อเป็นของขวัญรับเทศกาลฮารีรายออิฎิ้ลฟิตรี จากนั้นแต่ละบ้านได้เปิดบ้านต้อนรับเพื่อนบ้านและผู้มาเยือน แต่ด้วยมาตรการเข้มงวดที่ห้ามเดินทางข้ามจังหวัด จึงไม่ค่อยเห็นมุสลิมนั่งรถเต็มคันเพื่อไปเยี่ยมญาติที่อยู่ต่างจังหวัดเหมือนปีก่อนๆ แต่ใช้วิธีส่งคำอำนวยพรเนื่องในวันฮารีรายอผ่านสื่อออนไลน์แทน
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-3-13.jpg)
ที่ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี มีเรื่องฮือฮาเกิดขึ้น เมื่อมีพระรูปหนึ่งยืนแจกเงินเด็กๆ และเยาวชนมุสลิมบริเวณหน้ามัสยิด โดยพระพูดภาษายาวีกับชาวบ้านด้วย โดยบอกว่าแจกเงินแบบนี้ทุกปี ปีนี้แลกมา 10,000 บาท ทั้งยังพูดกับเด็กๆ หลังจากแจกเงินว่า “เขาจะละหมาดแล้ว รีบๆ เข้าไปในมัสยิดเถิด” เหตุการณ์นี้มีคนถ่ายคลิปเอาไว้ และแชร์ต่อกันอย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์ โดยมีกระแสชื่นชมจากคนในพื้นที่ว่าเป็นภาพประทับใจ
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-4-10.jpg)
หลายคนสงสัยว่าพระรูปนี้คือใคร บ้างก็ว่าน่าจะเป็น “ท่านเวาะ” หรือ พระอาจารย์เรวัต ถิรสทฺโธ เจ้าอาวาสวัดเทพนิมิต หรือ “วัดบ้านกลาง” อ.ปะนาเระ ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แต่ถูกทิ้งร้างช่วงเกิดสถานการณ์ความไม่สงบ กระทั่งท่านเวาะย้ายจากวัดตุยง หรือวัดมุจลินทวาปีวิหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มาทำหน้าที่เจ้าอาวาส ทำให้วัดกลับมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวพุทธอีกครั้ง ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีของพี่น้องพุทธและมุสลิมในพื้นที่นี้ด้วย เพราะชาวบ้านจาก 2 ศาสนิกช่วยกันซ่อมแซมกุฏิพระที่วัดจนเสร็จสมบูรณ์ หลังจากท่านเวาะเข้ามาจำพรรษาเมื่อปี2561
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-5-6.jpg)
“ละหมาดศุกร์ – ดูดวงจันทร์” คุมเข้มมาตรการสกัดโควิด ไม่เพียงพิธีละหมาดวันรายอเท่านั้นที่มีแนวปฏิบัติเป็น “วิถีใหม่” เพื่อป้องกันโรคระบาด แต่กิจกรรมที่ทำเพื่อรกำหนดวันรายอ หรือวันที่ 1 ของเดือนเซาวาล (เดือนที่ต่อกับเดือนรอมฎอน) และการละหมาดวันศุกร์ ก็มีมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกันการกำหนดวันรายอตรงกับวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ค.63 นั้น มาจากผลการดูเสี้ยวดวงจันทร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 22 พ.ค.ตามประกาศของสำนักจุฬาราชมนตรี บรรยากาศการดูเสี้ยวจันทร์ที่ศาลาดูดวงจันทร์บนยอดเขาปาเระ (บูเก๊ะปาเระ) อ.ยะหา จ.ยะลา ซึ่งเป็นศาลาดูดวงจันทร์ที่สำคัญของภาคใต้ตอนล่าง เจ้าหน้าที่ได้วางมาตรการจำกัดพื้นที่และจำนวนการขึ้นดูเสี้ยวจันทร์ของประชาชน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอนุญาตเฉพาะผู้นำศาสนาที่มีประสบการณ์ ทีได้รับคัดเลือกจากสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดยะลา ร่วมดูเสี้ยวจันทร์เท่านั้น และทุกคนต้องผ่านการคัดกรองจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอย่างเข้มงวด
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1-72.jpg)
ช่วงหลังเที่ยงของวันศุกร์ที่ 22 พ.ค. เป็นช่วงเวลาของการละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด ซึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องงดไปนานนับเดือน ทั้งๆ ที่เป็นศาสนกิจภาคบังคับของพี่น้องมุสลิม จังหวัดปัตตานีปลดล็อกละหมาดวันศุกร์ไปก่อนแล้วเมื่อวันที่ 15 พ.ค. จากนั้นในวันที่ 22 พ.ค. จึงปลดล็อกพร้อมกันทั้งสามจังหวัด แต่ก็อนุญาตเฉพาะมัสยิดที่มีความพร้อมของมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างที่ จ.นราธิวาส มีมัสยิดทั้งจังหวัด 676 แห่ง มีมัสยิดที่มีความพร้อม 448 แห่ง ไม่พร้อม 228 แห่ง ซึ่งผู้ที่เข้าละหมาดต้องผ่านการคัดกรองและลงทะเบียนทุกราย
การปลดล็อกให้ละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิดได้ สร้างความดีอกดีใจให้กับพี่น้องมุสลิมในพื้นที่อย่างมาก มะฆอซี อาบู ชาวอำเภอยะหา จ.ยะลา เผยความรู้สึกว่า ตลอดหลายสัปดาห์ที่ไม่มีการละหมาดวันศุกร์ที่มัสยิด สำหรับผู้ชายมุสลิมแล้วรู้สึกขัดๆ บอกไม่ถูก สัปดาห์นี้ได้ไปละหมาดแล้ว รู้สึกดีใจมาก ทุกคนทำตามมาตรการป้องกันโรคระบาดทั้งของกระทรวงสาธารณสุข และประกาศจุฬาราชมนตรีอย่างเคร่งครัด เมื่อละหมาดวันศุกร์แล้ว ยังได้ละหมาดรายอด้วย ยิ่งดีใจสุดๆ
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1-51.jpg)
“ตอนแรกหัวใจห่อเหี่ยวมาก ไม่มีความหวังเลย ขนาดละหมาดวันศุกร์ยังละหมาดไม่ได้ ละหมาดตะรอเวียะฮ์ก็ต้องทำที่บ้าน (ละหมาดช่วงกลางคืนในเดือนรอมฎอน ซึ่งปกติต้องละหมาดที่มัสยิด) ส่วนละหมารายอก็คิดว่าทำที่มัสยิดไม่ได้แล้ว แต่พอมีประกาศบอกว่าพวกเราสามารถทำพิธีได้ ก็รู้ดีใจมาก ทุกคนดีใจ อยากขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือกันจนทำให้พวกเราสามารถไปมัสยิดได้บ้างเพื่อทำพิธีที่สำคัญ” ชาวบ้านที่ชายแดนใต้ กล่าว และย้ำว่าอยากบอกทุกคนว่า แม้สถานการณ์โควิด-19 ดูจะคลี่คลายลงแล้ว แต่ทุกคนต้องปฏิบัติตนตามมาตรการอย่างเคร่งครัด ทำตามที่ภาครัฐกำหนด เพื่อพวกเราทุกคน