‘ตาตาร์มุสลิม’ ไครเมีย ชะตากรรมอันเลวร้ายของลูกหลาน’เจงกีส ข่าน’ผู้ยิ่งใหญ่

3857

‘ผืนดินไครเมียอุดมสมบูรณ์ เราจงขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากไครเมียเถิด ไครเมียต้องไม่มีชาวตาต้า’ ถ้อยคำที่ ขุนนางรุสเซียผู้หนึ่งถวายต่อ พระนางซารีน่า เอคาเทอรีน่าที่ 2 ภายหลังการยึดครองไครเมีย เมื่อปลายศตควรรตที่ 18 กลายเป็นเป็นโศกนาฏกรรม ที่ชาวรุสเซียกระทำอย่างเลวร้ายต่อชาวตาตาร์ตั้งแต่นั้น ยาวนานจนถึงปัจจุบัน

ชาวตาตาร์บนคาบสมุทรไคเมีย เป็นลูกหลานเจง กีสข่าน อาณาจักรสุดท้ายที่ปกครองแผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่ มีการยาตราทัพบุกยุโรปตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 13 จากความรุ่งโรจน์ที่สามารถยึดครองโลกได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กลับสู่ความตกต่ำ และทิ้งมรดกบาดแผนไว้มากมากมาย

มองโกลจากชนเผ่าอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ถูกรวบรวมเป็นอาณาจักรสมัย เต มู จิน ลูกกำพร้าบิดาตั้งแต่วัย 13 ปี สถาปนาตนเองเป็น “ข่านใหญ่’ นาม ‘เจง กีส ข่าน’ อันลือเลื่อง ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะ’ยึดครองโลก’ให้สำเร็จ

เจงกีส ข่าน ผู้รวมรวมแผ่นดินมองโกล และตั้งเป้าหมายยึดครองโลก
แผนที่อาณาจักรมองโกล สมัยข่านองค์ที่ 5 กุบไลข่าน ครอบคลุมเอเชียและยุโรป

ในวัย 40 ปี เจง กีส ข่าน ได้เข้ายึดครองดินแดนทางตอนเหนือของจีน และมุ่งเส้นทางสู่ยุโรปผ่านเส้นทางสายไหม สามารถยึดครองแผ่นดินเอเชียกลางอาณาจักรของมุสลิมได้สำเร็จ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในวัย 65 ปี

หลังสิ้นยุค เจง กีส ข่าน อาณาจักรมองโกลยังเดินหน้าต่อตามแผนยึดครองโลก จนถึงยุคของข่านคนที่ 5 กุบไลข่าน หลานของเจง กีส ข่าน มองโกล ยึดครองแผ่นดินได้มากที่สุด ยุดแผ่นดินจีนได้ทั้งหมด ยึดเอเชียกลางและยุโรป แผ่นดินรุสเซียของชาวสลาฟทั้งหมด ลึกไปถึงโปแลนด์ และฮังการี

ช่วงที่มองโกล เข้ายึดแผ่นดินสลาฟ มอสโค ยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ และด้วยระบอบการปกครองของมองโกล ที่ระบบการขึ้นทะเบียนประชากรเพื่อเก็บภาษี การเปิดให้มีการค้าขายเสรี ภายใต้การคุ้มกันของมองโกล แลกกับการเสียภาษี ส่งผลให้ดินแดนในการปกครองของมองโกลรุ่งเรือง พ่อค้ามุสลิม พ่อค้าจากเจนัวร์ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการค้าในแผ่นดินยูโรเชีย

มอสโค ศตวรรษที่ 16

พวกรุสเซียเอง อาศัยของระบบของมองโกล ขับเคลื่อนอาณาจักรรุสเซียจนรุ่งเรืองกลายเป็นนมหาอำนาจ จากอีวานที่ 1 ที่รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีส่งบรรณาการให้มองโกล ภายในเวลา 200 ปี พวกรุสเซียก็สามารถขับไล่ อิทธิพลของมองโกลออกไปจากยูเรียเชียได้สำเร็จ เหลือเพียงชาวตาตาร์บนคาบสมุทรไครเมีย

ชาวตาตาร์เป็นลูกผสมระหว่างทหารมองโกลกับหญิงสาวท้อนถิ่น กลายเป็นมุสลิมที่มีรูปร่างหล่อเหลาและสวยงาม พวกเขายึดดินแดนคาบสมุทรไครเมีย ของทะเลดำอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย มีพ่อค้ามากมายเข้ามาทำมาค้าขาย ประกอบกับทหารม้าอันทรงพลัง ไครเมียจึงเจริญรุ่งเรือง โดยที่ชาวรุสเซียไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ ยาวนานถึง 550 ปี

คำว่า ‘ตาตาร์’ ในความจริง หมายถึง ‘บุรุษจากนรก’ ในภาษาลาตินที่ใช้ในราชสำนักวาติกันที่ปกครองยุโรปในเวลานั้น ในยุคนั้น เกิดคำทำนายว่า จะมีชายคนหนึ่งจะเข้ามาทำลายยุโรป และต่อมามองโกล ได้ส่งสาร์น ถึงองค์พระสันตปาปา ประกาศท้ารบ ‘ถ้าท่านยอม เราจะไว้ชีวิต แต่หากขัดขืนเราจะฆ่าให้หมด’ กลายเป็นความสะพึงกลัวที่เกาะกุมใจชาวยุโรปเป็นเวลานาน

ทหารม้าอันทรงพลังของรัฐข่านไครเมีย

จากมอสโค ชาวรุสเซียขยายอำนาจจนถึงแหลมไครเมียและเอเชียกลาง รุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของ ซารีน่า เอคาเทอรีน่าที่ 2 พวกเขากลายเป็นมหาอำนาจที่สามารถผลิตอาวุธที่ทันสมัย แม้รัฐข่านไครเมีย จะมีทหารม้าที่ทรงพลัง ก็ไม่อาจต้านทานการบุกโจมตีของชาวรุสซ์ได้ ในปี 1783 รัฐข่านไครเมียก็ถึงกาลล่มสลาย สิ้นสุดการปกครองของมองโกลบนแผ่นดินยุโรป

ด้วยถ้อยคำที่กล่าวไว้ข้างต้น หลังการยึดครองไครเมีย ชาวรุสเซียได้ขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากแผ่นดินไครเมีย เป็นโศกนาฏกรรมที่ต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน

จากยุคซาร์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 1917 ชาวตาตาร์ได้จัดตั้ง รัฐสาธารณรัฐไครเมียขึ้นมา หวังว่า การเปลี่ยนแปลงสู่คอมมิวนิสต์จะเป็นโอกาสของพวกเขา แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น กองทัพบอลเชวิคก็เข้าบดขยี้พวกเขาจนแหลกราญ

ผู้ก่อตั้ง สาธารณรัฐตาตาร์ไครเมีย 1917

วาลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำบอลเชวิค ประกาศว่า “เราจะแบ่งแยก และปราบปรามพวกเขาให้ย่อยยับ” แต่ชะตากรรมของชาตาตาร์บนคาบสมุทรไครเมียยังไม่เลวร้ายเท่ากับหลัง สตาลินขึ้นครองอำนาจ

เช้าวันหนึ่ง ในปี 1945 ทหารบอลเชวิคพร้อมอาวุธครบมือ ไปถึงหน้าบ้านของชาวตาตาร์ทุกหลัง พวกเขาบังคับให้ชาวตาตาร์ออกจากบ้านเรือน ให้เวลา 15นาทีเพื่อเก็บข้าวของ บางคนไม่มีอะไรติดตัว บางคนหยิบฉวยคัมภีร์อัลกุรอ่านได้เพียงเล่มเดียว เดินทางไปยังเอเชียกลาง ‘อุซเบกีสถาน’ แต่การเดินทางอันยาวไกล 3,000 กิโลเมตร และความหิวโหย ประมาณว่า มีชาวตาตาร์ เกือบครึ่งหนึ่งจาก 200,000 คน เสียชีวิต

พวกรุสเซียได้หลั่งไหลเข้าครอบครองแผ่นดินของชาวตาตาร์ จนสหภาพโซเวียตพังทลายลง เมื่อปี 1991 ชาวตาตาร์ 250,000 ได้กลับคืนสู่คาบสมุทรไครเมีย หลังต้องจากไปยาวนาน 50 ปี พวกเขาเข้ามาอยู่อย่างผิดกฎหมาย แต่มีความภาคภูมิใจที่ได้กลับมายังแผ่นดินเกิด

ชาวตาตาร์หลังเดินทางกลับจากเอเชียกลางสู่บ้านเกิดที่คาบสมุทรไครเมีย

ในปีเดียวกัน พวกเขาได้จัดตั้งองค์กร Mejlis เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของชาวตาตาร์ และกล่าวถึงความคับข้องใจของรัฐบาลกลางยูเครน และรัฐบาลท้องถิ่นไครเมีย ที่กระทำต่อพวกเขา

แต่ในปี 2014 รัสเซียได้เข้ายึดครองดินแดนไครเมีย และชาว Mejlis เลือกที่จะลงประชามติสนับสนุนรัสเซีย เนื่องจากความหวาดกลัวภาพสยดสยองกับพวกเขาที่เคยได้รับสมัยบอลเชวิค แต่เมื่อมุสลิมตาตาร์ ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือบางประการกับหน่วยงานของรัสเซียในไครเมีย รัฐบาลกลางรัสเซียก็กล่าวหาว่า Mejlis เป็นองค์กรหัวรุนแรงอิสลามและรุนแรงถึงกับกล่าวหา เขาเป็น “กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” และ “ผู้ก่อการร้าย” มีคำสั่งห้ามการรวมตัวในที่สาธารณะ และห้ามการเรียนการสอนศาสนา

นักการเมืองรัสเซียจำนวนหนึ่ง เสนอให้เปลี่ยนชื่อ’ไครเมีย’เป็น “Tavrida” หรือ “Tavriya” เพื่อลบชาวตาตาร์จากไครเมีย “ที่เป็นแผ่นดินเกิดของพวกเขา”

middleeasteye รายงานว่า ในปี 2017 ตามรายงานการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุว่า ชาวตาตาร์ ถูกละเมิดสิทธิมนษยชนอย่างมีนัย หลังตกเป็นของรัสเซีย

ทหารรัสเซียกระทำต่อชาวตาตาร์ 2018

ตามรายงานของ Human Rights Watch ระบุว่าหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (FSB) ได้โจมตีบ้านเรือนของชาวตาตาร์ ที่มีการวิจารณ์การยึดครองของรัสเซียในที่สาธารณะหรือทางออนไลน์ ชาวตาตาร์หลายคนถูกจับทรมาน และพวกเขาจะถูกกักขังและทรมาน หากมีการพูดคุยเรื่องอัลกุรอานหรือเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ประมาณว่า มีชาวตาตาร์ประมาณ 40,000 คน ได้หลบหนีไปยูเครนหรือลี้ภัยในตุรกี

น่าแปลกว่า ในขณะที่วาลาดิเมียร์ ปูติน เดินทางไปเปิดมัสยิดตาตาร์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในมอสโค เพื่อสร้างภาพการให้การยอมรับมุสลิมในรัสเซีย แต่อีกด้านหนึ่งกลับห้ามชาวตาตาร์บนแหลมไครเมียรวมกลุ่มด้านศาสนา ซึ่งถือ เป็นการกระทำละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

สิ่งที่รัสเซีย กระทำต่อชาวตาตาร์ เพื่อป้องกันต่อต้าน และขจัดชาวตาตาร์ออกจากแผ่นดินเกิด จึงไม่ต่างกับที่อิสราเอลกระทำกับชาวปาเลสไตน์ พม่ากระทำต่อชาวโรฮิงญา หรือที่จีนกระทำต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ ในดินแดนเตอร์กิสตะวันออก รวมทั้ง อินเดียทำกับชาวมุสลิมในรัฐอัสสัม

วลาดิเมียร์ ปูติน ในวันเปิดมัสยิดตาตาร์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในมอสโค 2017

พวกรัสเซีเขากระทำต่อชาวตาตาร์ จากการปลูกฝังความเกลียดชังจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่ยุคสมัยที่มองโกล เข้าปกครองแผ่นดินสลาฟ ยุคนั้น มีการร้องเพลงสะท้อนถึงควงามโหดร้ายของมองโกล

‘เมื่อพวกเขามาถึงบ้านเรือน ทรัพย์สินของพวกเราจะถูกหยิบฉวยไป หากไม่มีทรัพย์สิน ลูกจะถูกนำออกไป หากไม่มีลูก เมียจะถูกนำออกไป หากไม่มีเมียศรีษะก็จะถูกนำออกไป’

รวมทั้งในยุคหนึ่งกองทัพม้าอันทรงพลังของรัฐข่านไครเมียได้บุกโจมตี เผาทำลายมอสโคจนราบคาบ คนรัสเซียจำนวนมากถูกเผาในทะเลเพลิง เหลือเพียงพระราชวังเครมลิน ที่มีกำแพงแน่นหนารอดพ้นจากการถูกโจมตี

เป็นความแค้นฝั่งหุ่นที่เกาะกุมใจชาวสลาฟ ไม่แตกต่างจากที่ชาวพม่าเกลียดชังชาวโรฮิงญาที่ให้การช่วยเหลืออังกฤษสมัยยึดครองเป็นอาณานิคม

จากการขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากไครเมีย แม้ส่วนหนึ่งจะกลับมา แต่แผ่นดินไครเมียได้เปลี่ยนแปลงไป ชาวรุสซ์ ได้กลายเป็นคนส่วนใหญ่ 70% เหลือชาวตาตาร์เพียง 30% แม้การลงประชามติโดยผิดกฎหมาย 61% เห็นด้วยให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ แต่เป็นเรื่องยากที่จะเป็นจริง ในยุคของการยึดครองโดยรัสเซีย

ชะตากรรมของลูกหลานเจง กีส ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ จึงอยู่ในสภาพทุกข์เวทนา

Mtoday เรียบเรียง

www.middleeasteye.net