‘ผืนดินไครเมียอุดมสมบูรณ์ เราจงขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากไครเมียเถิด ไครเมียต้องไม่มีชาวตาต้า’ ถ้อยคำที่ ขุนนางรุสเซียผู้หนึ่งถวายต่อ พระนางซารีน่า เอคาเทอรีน่าที่ 2 ภายหลังการยึดครองไครเมีย เมื่อปลายศตควรรตที่ 18 กลายเป็นเป็นโศกนาฏกรรม ที่ชาวรุสเซียกระทำอย่างเลวร้ายต่อชาวตาตาร์ตั้งแต่นั้น ยาวนานจนถึงปัจจุบัน
ชาวตาตาร์บนคาบสมุทรไคเมีย เป็นลูกหลานเจง กีสข่าน อาณาจักรสุดท้ายที่ปกครองแผ่นดินยุโรป นับตั้งแต่ มีการยาตราทัพบุกยุโรปตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 13 จากความรุ่งโรจน์ที่สามารถยึดครองโลกได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กลับสู่ความตกต่ำ และทิ้งมรดกบาดแผนไว้มากมากมาย
มองโกลจากชนเผ่าอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย ถูกรวบรวมเป็นอาณาจักรสมัย เต มู จิน ลูกกำพร้าบิดาตั้งแต่วัย 13 ปี สถาปนาตนเองเป็น “ข่านใหญ่’ นาม ‘เจง กีส ข่าน’ อันลือเลื่อง ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะ’ยึดครองโลก’ให้สำเร็จ
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-978-616-388-012-6-631x1024-.jpg)
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1590853128428.jpg)
ในวัย 40 ปี เจง กีส ข่าน ได้เข้ายึดครองดินแดนทางตอนเหนือของจีน และมุ่งเส้นทางสู่ยุโรปผ่านเส้นทางสายไหม สามารถยึดครองแผ่นดินเอเชียกลางอาณาจักรของมุสลิมได้สำเร็จ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ในวัย 65 ปี
หลังสิ้นยุค เจง กีส ข่าน อาณาจักรมองโกลยังเดินหน้าต่อตามแผนยึดครองโลก จนถึงยุคของข่านคนที่ 5 กุบไลข่าน หลานของเจง กีส ข่าน มองโกล ยึดครองแผ่นดินได้มากที่สุด ยุดแผ่นดินจีนได้ทั้งหมด ยึดเอเชียกลางและยุโรป แผ่นดินรุสเซียของชาวสลาฟทั้งหมด ลึกไปถึงโปแลนด์ และฮังการี
ช่วงที่มองโกล เข้ายึดแผ่นดินสลาฟ มอสโค ยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ และด้วยระบอบการปกครองของมองโกล ที่ระบบการขึ้นทะเบียนประชากรเพื่อเก็บภาษี การเปิดให้มีการค้าขายเสรี ภายใต้การคุ้มกันของมองโกล แลกกับการเสียภาษี ส่งผลให้ดินแดนในการปกครองของมองโกลรุ่งเรือง พ่อค้ามุสลิม พ่อค้าจากเจนัวร์ เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนการค้าในแผ่นดินยูโรเชีย
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-750x529xkremlin-ivan-1.jpg.pagespeed.ic_.o768dzkhw9.jpg)
พวกรุสเซียเอง อาศัยของระบบของมองโกล ขับเคลื่อนอาณาจักรรุสเซียจนรุ่งเรืองกลายเป็นนมหาอำนาจ จากอีวานที่ 1 ที่รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีส่งบรรณาการให้มองโกล ภายในเวลา 200 ปี พวกรุสเซียก็สามารถขับไล่ อิทธิพลของมองโกลออกไปจากยูเรียเชียได้สำเร็จ เหลือเพียงชาวตาตาร์บนคาบสมุทรไครเมีย
ชาวตาตาร์เป็นลูกผสมระหว่างทหารมองโกลกับหญิงสาวท้อนถิ่น กลายเป็นมุสลิมที่มีรูปร่างหล่อเหลาและสวยงาม พวกเขายึดดินแดนคาบสมุทรไครเมีย ของทะเลดำอันอุดมสมบูรณ์ และเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับเอเชีย มีพ่อค้ามากมายเข้ามาทำมาค้าขาย ประกอบกับทหารม้าอันทรงพลัง ไครเมียจึงเจริญรุ่งเรือง โดยที่ชาวรุสเซียไม่สามารถโจมตีได้สำเร็จ ยาวนานถึง 550 ปี
คำว่า ‘ตาตาร์’ ในความจริง หมายถึง ‘บุรุษจากนรก’ ในภาษาลาตินที่ใช้ในราชสำนักวาติกันที่ปกครองยุโรปในเวลานั้น ในยุคนั้น เกิดคำทำนายว่า จะมีชายคนหนึ่งจะเข้ามาทำลายยุโรป และต่อมามองโกล ได้ส่งสาร์น ถึงองค์พระสันตปาปา ประกาศท้ารบ ‘ถ้าท่านยอม เราจะไว้ชีวิต แต่หากขัดขืนเราจะฆ่าให้หมด’ กลายเป็นความสะพึงกลัวที่เกาะกุมใจชาวยุโรปเป็นเวลานาน
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1590811668389.jpg)
จากมอสโค ชาวรุสเซียขยายอำนาจจนถึงแหลมไครเมียและเอเชียกลาง รุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยของ ซารีน่า เอคาเทอรีน่าที่ 2 พวกเขากลายเป็นมหาอำนาจที่สามารถผลิตอาวุธที่ทันสมัย แม้รัฐข่านไครเมีย จะมีทหารม้าที่ทรงพลัง ก็ไม่อาจต้านทานการบุกโจมตีของชาวรุสซ์ได้ ในปี 1783 รัฐข่านไครเมียก็ถึงกาลล่มสลาย สิ้นสุดการปกครองของมองโกลบนแผ่นดินยุโรป
ด้วยถ้อยคำที่กล่าวไว้ข้างต้น หลังการยึดครองไครเมีย ชาวรุสเซียได้ขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากแผ่นดินไครเมีย เป็นโศกนาฏกรรมที่ต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน
จากยุคซาร์ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ 1917 ชาวตาตาร์ได้จัดตั้ง รัฐสาธารณรัฐไครเมียขึ้นมา หวังว่า การเปลี่ยนแปลงสู่คอมมิวนิสต์จะเป็นโอกาสของพวกเขา แต่ไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น กองทัพบอลเชวิคก็เข้าบดขยี้พวกเขาจนแหลกราญ
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1590809707463.jpg)
วาลาดิเมียร์ เลนิน ผู้นำบอลเชวิค ประกาศว่า “เราจะแบ่งแยก และปราบปรามพวกเขาให้ย่อยยับ” แต่ชะตากรรมของชาตาตาร์บนคาบสมุทรไครเมียยังไม่เลวร้ายเท่ากับหลัง สตาลินขึ้นครองอำนาจ
เช้าวันหนึ่ง ในปี 1945 ทหารบอลเชวิคพร้อมอาวุธครบมือ ไปถึงหน้าบ้านของชาวตาตาร์ทุกหลัง พวกเขาบังคับให้ชาวตาตาร์ออกจากบ้านเรือน ให้เวลา 15นาทีเพื่อเก็บข้าวของ บางคนไม่มีอะไรติดตัว บางคนหยิบฉวยคัมภีร์อัลกุรอ่านได้เพียงเล่มเดียว เดินทางไปยังเอเชียกลาง ‘อุซเบกีสถาน’ แต่การเดินทางอันยาวไกล 3,000 กิโลเมตร และความหิวโหย ประมาณว่า มีชาวตาตาร์ เกือบครึ่งหนึ่งจาก 200,000 คน เสียชีวิต
พวกรุสเซียได้หลั่งไหลเข้าครอบครองแผ่นดินของชาวตาตาร์ จนสหภาพโซเวียตพังทลายลง เมื่อปี 1991 ชาวตาตาร์ 250,000 ได้กลับคืนสู่คาบสมุทรไครเมีย หลังต้องจากไปยาวนาน 50 ปี พวกเขาเข้ามาอยู่อย่างผิดกฎหมาย แต่มีความภาคภูมิใจที่ได้กลับมายังแผ่นดินเกิด
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-1590809912151.jpg)
ในปีเดียวกัน พวกเขาได้จัดตั้งองค์กร Mejlis เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของชาวตาตาร์ และกล่าวถึงความคับข้องใจของรัฐบาลกลางยูเครน และรัฐบาลท้องถิ่นไครเมีย ที่กระทำต่อพวกเขา
แต่ในปี 2014 รัสเซียได้เข้ายึดครองดินแดนไครเมีย และชาว Mejlis เลือกที่จะลงประชามติสนับสนุนรัสเซีย เนื่องจากความหวาดกลัวภาพสยดสยองกับพวกเขาที่เคยได้รับสมัยบอลเชวิค แต่เมื่อมุสลิมตาตาร์ ปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือบางประการกับหน่วยงานของรัสเซียในไครเมีย รัฐบาลกลางรัสเซียก็กล่าวหาว่า Mejlis เป็นองค์กรหัวรุนแรงอิสลามและรุนแรงถึงกับกล่าวหา เขาเป็น “กลุ่มแบ่งแยกดินแดน” และ “ผู้ก่อการร้าย” มีคำสั่งห้ามการรวมตัวในที่สาธารณะ และห้ามการเรียนการสอนศาสนา
นักการเมืองรัสเซียจำนวนหนึ่ง เสนอให้เปลี่ยนชื่อ’ไครเมีย’เป็น “Tavrida” หรือ “Tavriya” เพื่อลบชาวตาตาร์จากไครเมีย “ที่เป็นแผ่นดินเกิดของพวกเขา”
middleeasteye รายงานว่า ในปี 2017 ตามรายงานการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ระบุว่า ชาวตาตาร์ ถูกละเมิดสิทธิมนษยชนอย่างมีนัย หลังตกเป็นของรัสเซีย
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-a5955.jpg)
ตามรายงานของ Human Rights Watch ระบุว่าหน่วยงานรักษาความปลอดภัยแห่งสหพันธรัฐรัสเซีย (FSB) ได้โจมตีบ้านเรือนของชาวตาตาร์ ที่มีการวิจารณ์การยึดครองของรัสเซียในที่สาธารณะหรือทางออนไลน์ ชาวตาตาร์หลายคนถูกจับทรมาน และพวกเขาจะถูกกักขังและทรมาน หากมีการพูดคุยเรื่องอัลกุรอานหรือเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา ประมาณว่า มีชาวตาตาร์ประมาณ 40,000 คน ได้หลบหนีไปยูเครนหรือลี้ภัยในตุรกี
น่าแปลกว่า ในขณะที่วาลาดิเมียร์ ปูติน เดินทางไปเปิดมัสยิดตาตาร์ มัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในมอสโค เพื่อสร้างภาพการให้การยอมรับมุสลิมในรัสเซีย แต่อีกด้านหนึ่งกลับห้ามชาวตาตาร์บนแหลมไครเมียรวมกลุ่มด้านศาสนา ซึ่งถือ เป็นการกระทำละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
สิ่งที่รัสเซีย กระทำต่อชาวตาตาร์ เพื่อป้องกันต่อต้าน และขจัดชาวตาตาร์ออกจากแผ่นดินเกิด จึงไม่ต่างกับที่อิสราเอลกระทำกับชาวปาเลสไตน์ พม่ากระทำต่อชาวโรฮิงญา หรือที่จีนกระทำต่อชาวมุสลิมอุยกูร์ ในดินแดนเตอร์กิสตะวันออก รวมทั้ง อินเดียทำกับชาวมุสลิมในรัฐอัสสัม
![](https://www.mtoday.co.th/wp-content/uploads/2020/05/www.mtoday.co.th-12010654-1726631330890333-7022949857522333119-o-1.jpg)
พวกรัสเซีเขากระทำต่อชาวตาตาร์ จากการปลูกฝังความเกลียดชังจากรุ่นสู่รุ่น ตั้งแต่ยุคสมัยที่มองโกล เข้าปกครองแผ่นดินสลาฟ ยุคนั้น มีการร้องเพลงสะท้อนถึงควงามโหดร้ายของมองโกล
‘เมื่อพวกเขามาถึงบ้านเรือน ทรัพย์สินของพวกเราจะถูกหยิบฉวยไป หากไม่มีทรัพย์สิน ลูกจะถูกนำออกไป หากไม่มีลูก เมียจะถูกนำออกไป หากไม่มีเมียศรีษะก็จะถูกนำออกไป’
รวมทั้งในยุคหนึ่งกองทัพม้าอันทรงพลังของรัฐข่านไครเมียได้บุกโจมตี เผาทำลายมอสโคจนราบคาบ คนรัสเซียจำนวนมากถูกเผาในทะเลเพลิง เหลือเพียงพระราชวังเครมลิน ที่มีกำแพงแน่นหนารอดพ้นจากการถูกโจมตี
เป็นความแค้นฝั่งหุ่นที่เกาะกุมใจชาวสลาฟ ไม่แตกต่างจากที่ชาวพม่าเกลียดชังชาวโรฮิงญาที่ให้การช่วยเหลืออังกฤษสมัยยึดครองเป็นอาณานิคม
จากการขับไล่ชาวตาตาร์ออกจากไครเมีย แม้ส่วนหนึ่งจะกลับมา แต่แผ่นดินไครเมียได้เปลี่ยนแปลงไป ชาวรุสซ์ ได้กลายเป็นคนส่วนใหญ่ 70% เหลือชาวตาตาร์เพียง 30% แม้การลงประชามติโดยผิดกฎหมาย 61% เห็นด้วยให้แยกตัวเป็นรัฐอิสระ แต่เป็นเรื่องยากที่จะเป็นจริง ในยุคของการยึดครองโดยรัสเซีย
ชะตากรรมของลูกหลานเจง กีส ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ จึงอยู่ในสภาพทุกข์เวทนา
Mtoday เรียบเรียง
www.middleeasteye.net