วัดกึ๋น! “ปรีดี”แก้วิกฤต หลัง สบน.แฉ รัฐบาล “ลุงตู่”กระเป๋าฉีก เล็งกู้อุตลุด

210

ผอ.สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เผยเงินคงคลัง ใกล้หมดกระเป๋า เล็งแก้ปัญหา ขอกู้ชนเพดาน 6.3 แสนล้าน โปะรายได้ที่หายไป 3 แสนล้าน ดันหนี้สาธารณะต่อจีดีพีชนเพดาน 58% ประเดิม ออกพันธบัตรออมทรัพย์ ช่วยก้อนแรก 5 หมื่นล้าน ต้นเดือน ก.ย.

วันที่ 20 ส.ค. 63 นางแพตริเซีย มงคลวานิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 ส.ค. ได้เห็นชอบปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2563 ครั้งที่ 2 โดยให้กระทรวงการคลังกู้เงินปีงบประมาณ 2563 เพิ่มอีก 2.14 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการกู้ในกรณีรายจ่ายสูงกว่ารายได้ เพราะมีการคาดว่ารายได้ปีนี้ จะมีการจัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะจัดเก็บได้เพียง 9 % เท่านั้น

ดังนั้น เงินคงคลังอาจจะมีไม่เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายของประเทศ ซึ่งล่าสุดได้รับรายงานว่าเงินคงคลังเหลือน้อยมาก เนื่องจากไม่มีรายได้ เพราะมีการเลื่อนการยื่นแบบชำระภาษีเงินได้ โดยจะเริ่มมีเงินเข้าในช่วงเดือน ก.ย. จึงจำเป็นต้องให้คลังให้เปิดวงเงินกู้ดังกล่าว โดย สบน.จะประเดิมกู้ส่วนแรก 5 หมื่นล้านบาท ด้วยการออกเป็นพันธบัตรออมทรัพย์ขายให้ประชาชนทั่วไปในเดือน ก.ย.

“วงเงินกู้ 2.14 แสนล้านบาทที่เพิ่มขึ้น เป็นคนละส่วนการกู้เพื่อชดเชยขาดดุลงบประมาณ 2563 จำนวน 4.69 แสนล้านบาท ซึ่งมีการกู้ไปจนเต็มหมดแล้ว และการกู้เงินเพื่อมาใช้จ่ายกรณีที่รายจ่ายมากกว่ารายได้ในปี 2563 ไม่ได้ทำเป็นครั้งแรกของประเทศ โดยเคยกู้เงินลักษณะนี้ในปีที่ไทยจะวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มาแล้ว เนื่องจากตอนนั้นรายจ่ายมากกว่ารายได้ที่เก็บได้เช่นกัน”

นางแพตริเซีย กล่าวว่า ตามกฎหมาย คลังสามารถกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณได้ 20% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย บวกกับอีก 80% ของต้นเงินชำระเงินกู้ ซึ่งในปี 2563 จะสามารถกู้ได้ 6.38 แสนล้านบาท ซึ่งการกู้เงินเพื่อชดเชยขาดดุล และการกู้กรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ดังกล่าว ถือว่าเป็นการกู้เต็มจำนวนตามกรอบที่กฎหมายกำหนดไว้

ทั้งนี้ การกู้เงินเพิ่มกรณีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ไม่ได้ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สาธารณะมีปัญหา โดยล่าสุดอยู่ที่ 45.83% ของจีดีพี และคาดว่าสิ้นปีงบประมาณนี้จะอยู่ที่ 51-52% ของจีดีพี และสิ้นปีงบประมาณ 2564 อยู่ที่ 57-58% ของจีดีพี ส่วนการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ขณะนี้คลังกู้ไปแล้ว 3.18 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะกู้ในปีงบประมาณ 2564 ตามความต้องการใช้เงินของรัฐบาลในแต่ละโครงการ

สำหรับวงเงินประเดิมกู้ส่วนแรก 5 หมื่นล้านบาท จะทำการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ 2 รุ่น 2 อายุ 2 ช่องทาง คือ 1.รุ่นวอลเล็ต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงินจำหน่าย 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1.70% ต่อปี จำหน่ายผ่านวอลเล็ต สบม. บนแอปพลิเคชันเป๋าตัง รายละไม่เกิน 5 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.– 11 ก.ย.2563

2. รุ่นก้าวไปด้วยกัน (Moving Forward) วงเงินจำหน่าย 45,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 2.22% ต่อปี จำหน่ายผ่าน 4 ธนาคารตัวแทนจำหน่าย โดยเปิดการจำหน่ายเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงที่ 1 วันที่ 26 ส.ค. – 3 ก.ย. 2563 ให้บุคคลธรรมดาสัญชาติไทย ไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อราย และช่วงที่ 2 วันที่ 4 – 11 ก.ย.จำหน่ายเป็นการทั่วไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าว ถือเป็นภารกิจสำคัญของ “ขุนคลัง” คนใหม่ นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง อดีตนายแบงค์ ธ.กสิกรไทย ที่จะต้องพิสูจน์ฝีมือ บริหารจัดการ แก้ปัญหา วิกฤตการเงินของประเทศให้ผ่านไปให้ได้