“จตุพร” งัด! ประวัติศาสตร์ เตือน “ม็อบ14 ต.ค.” หวั่นจุดชนวน ขัดแย้ง ซ้ำรอยอดีต

248

ประธาน นปช. ยก เหตุการณ์ ชุมนุม 14 ต.ค.16 กับ 6 ต.ค.19 ตีแผ่ เบื้องหลัง มีการจงใจ สร้างความรุนแรง ทำให้เกิดการ เข่นฆ่า ประชาชน จี้ “ปชป.-ภท.” ถอนตัวจาก รัฐบาล ขณะเดียวกัน เชื่อว่า การแก้ รธน.จะช่วย ถอด สลักการเมืองได้

วันที่ 9 ต.ค.63 นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊กไลฟ์ peace talk ถึงเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 ระบุว่า ความตายเกิดขึ้นเพราะมีคนไม่ต้องการให้การชุมนุมยุติ โดยระหว่างทางเลิกชุมนุมกลับบ้านเกิดการปะทะกันขึ้น จนนำไปสู่การฆ่ากัน แล้วทำให้ผู้มีอำนาจขณะนั้นสูญเสียความชอบธรรมไป

ส่วน 6 ตุลา 19 มีการแยกสลายขบวนการนักศึกษารุ่น 14 ตุลาออกไป แต่สิ่งสำคัญคือ ความต่อเนื่องกับการเก็บเกี่ยวชัยชนะ โดยไม่คิดถึงอีกฝ่ายหนึ่ง ได้เตรียมการอะไรไว้และมีความอำมหิตอย่างไร กระทั่งเมื่อคนพวกนั้นลงมือ จึงเกิดปรากฎการณ์ล้อมฆ่า อย่างไร้ปราณีต่อคน 6 ตุลา 19

“ความรู้สึกของคน 6 ตุลานั้น มีความเจ็บปวด เจ็บแค้นจากการถูกกระทำอย่างเหี้ยมโหด แม้มีคนตายน้อยกว่า 14 ตุลา แต่สองเหตุการณ์นี้เรียกได้ว่า เป็นหนังคนละม้วนแตกต่างกันไป โดย 14 ตุลา การชุมนุมเรียกร้องเสรีภาพ ประชาธิปไตย อีกทั้งการจัดรูปขบวนเป็นดังแสดงถึงความจงรักภักดี แต่ขบวน 6 ตุลา กลับถูกป้ายสี ด้วยการแต่งภาพแขวนคอ แล้วกล่าวหาผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มคนจ้องล้มสถาบัน” นายจตุพร กล่าวและว่า “ผมนำเรื่องนี้มากล่าวถึง เพราะการชุมนุมในวัน 14 ตุลา 2563 นั้น ผมยังถามอยู่เสมอว่า ต้องการอะไร ต้องการไล่รัฐบาล ต้องการ รธน. หรือ ต้องการนอกเหนือจากนี้ไป แต่เนื้อหาจะเป็นตัวอธิบายว่า การชุมนุมต้องการอะไร”

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ชุมนุมโดยพุ่งเป้าไปที่ 10 ข้อเรียกร้องปฏิรูปนั้น แปลความถึง ไม่ได้ไล่รัฐบาล ไม่ต้องการ รธน. จึงเท่ากับไปสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลได้อยู่ต่อไป ดังนั้นจึงถามเสมอว่า เพื่ออะไร เพราะประชาชนมาร่วมการต่อสู้ ต้องรู้เป้าหมายการชุมนุม ถ้าจุดมุ่งหมายต้องการไล่รัฐบาล แต่เนื้อหาบนเวทีเป็นอีกเรื่องราวหนึ่งแล้ว จึงเป็นสิ่งที่น่าห่วงใย

อีกอย่าง การรักษาแนวร่วม มีความจำเป็นในการต่อสู้ และการชุมนุมแต่ละเหตุการณ์ในอดีตก็มีแนวร่วมที่แตกต่างกันไป ดังนั้น เมื่อประชาชนต้องการมาร่วมชุมนุมจำนวนมากแล้ว ย่อมต้องการจะรู้เช่นกันว่า ปลายทางคืออะไร และเส้นทางหลังจากนั้นคืออะไร

“ผมไม่ได้เปลี่ยนไป แต่คนอื่นเปลี่ยน แล้วมาชี้หน้าผมว่าเปลี่ยนไป ทั้งที่ตลอดชีวิตก็เป็นแบบนี้ จุดยืนผมยังเหมือนเดิม เมื่อคนอื่นเปลี่ยนแล้ว ผมมีความจำเป็นอะไรต้องไปเห็นด้วยกับเขา เพราะมันเป็นเสรีภาพของผม และผมเชื่อของผมแบบนี้ จึงดำรงความเชื่อเช่นนี้”

นายจตุพร ย้ำว่า การออกมาสำแดงพลังของประชาชนนั้น ต้องมีเป้าหมาย และไม่ควรมีใครมาตายใน พ.ศ.นี้อีก เพราะไม่รู้ว่าขบวนการสร้างสถานการณ์ จะมาสำแดงอะไรกับผู้ชุมนุม คงเป็นด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้ คณะญาติวีรชน 2535 จึงยื่นเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ และ ภูมิใจไทยถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล เพื่อยุติปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี อยู่ที่ว่านักการเมืองจะมีความสำนึกหรือไม่เท่านั้น

“ถ้าสองพรรคถอย จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปโดยปริยาย ก็ไม่มีความสูญเสียขึ้น เมื่อญาติวีรชน 2535 หาช่องทางลงอย่างดีที่สุด เป็นช่องทางลงที่ไม่มีการเสียเลือดเนื้อใดๆ ผมจึงเห็นว่าน่าเป็นช่องทางหนึ่ง เพียงแต่พรรคการเมืองจะมีความกล้าหรือไม่ เพราะอำนาจคือยาเสพติดร้ายแรง เมื่อเสพติดแล้วจึงยากจะเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งที่สัจธรรมไม่มีใครรักษาอำนาจไว้ได้แม้เพียงรายเดียว”

พร้อมกล่าวว่า พรรคการเมืองควรร่วมกันเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัยเพื่อถอดสลัก รธน. ซึ่งจะเป็นทางออกหนึ่งเพื่อแก้ปัญหาชาติที่วิกฤต “ดังนั้น การชุมนุม 14 ตุลานี้ ผมจึงไม่ต้องการให้เป็นหลักคิดแบบ 14 ตุลา แต่มีเรื่องราวเหมือน 6 ตุลา ซึ่งเป็นความน่ากังวลมากที่สุด เพราะจะกลายเป็นหนังคนละม้วน จึงได้แต่หวังว่า จะลงท้ายด้วยสันติวิธี”นายจตุพร กล่าว.