หน.พรรคกล้า มองทะลุ โครงการ “คนละครึ่ง” กับบทบาทภาครัฐต่ออนาคต E-commerce ไทย แนะ “ดีอี-พาณิชย์” ทำงานร่วมมือคลัง เชื่อจะเป็นโครงการ กระตุ้นเศรษฐกิจชาติที่สร้างความมั่นคงให้กับทุกฝ่ายได้
วันที่13 พ.ย.63 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า โพสต์เฟซบุ๊ก มีเนื้อหาดังนี้…#คนละครึ่ง กับ อนาคต E-commerce ไทย เมื่อวานผมอ่านหลายความคิดเห็น หลังจากที่ผมได้โพสต์เกี่ยวกับธุรกิจการค้าออนไลน์ พบว่ามีหลายคำถาม ว่าทำไมประเทศไทยไม่พัฒนาระบบ E-commerce Platform ของตัวเองบ้าง ทั้งๆ ที่ไทยมียอดการใช้จ่ายในโลกออนไลน์เพิ่มขึ้นทุกปี อุปสรรคคืออะไร ทำไมเรายังไม่ไปถึงจุดนั้น ผมว่าโอกาสเรามี แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะมีคนมองเห็นมันหรือไม่
โดยเหตุการณ์เมื่อวานนอกจากจะมีวันโปรดุ 11.11 แล้ว ก็มีอีกหนึ่งโครงการที่ร้อนแรงไม่แพ้กัน กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ‘คนละครึ่ง’ ที่รัฐบาลช่วยออกค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการ ให้กับประชาชนครึ่งหนึ่ง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยการเปิดให้ลงทะเบียนรอบ 2 นั้นครบกำหนดตามสิทธิ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งตั้งแต่เปิดโครงการมา มียอดการใช้จ่ายผ่าน app “เป๋าตัง” ไปแล้วถึง 1.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินเหล่านี้ไปถูกกระจายไปสู่ผู้ประกอบการรายย่อยที่ลงทะเบียนแล้ว กว่า 5.7 แสนร้าน รวมไปถึงแผงลอยตามตลาด ทำให้สามารถเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ตามความตั้งใจ โดยโครงการนี้ ‘ไม่อนุญาต’ ให้ร้านค้าขนาดใหญ่ และโมเดิร์นเทรดเข้ามาสร้างความได้เปรียบแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และภาครัฐกำลังพิจารณาที่จะเปิดรอบ 3 เพิ่มขึ้นอีกในช่วงปลายปี
สำหรับผู้ที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้วขอให้ลองคิดตามนะครับ ว่ารัฐตอนนี้ได้ทำให้คน 12 ล้านคนยอมรับและคุ้นเคยกับการใช้ cashless มากขึ้น และเช่นเดียวกันผู้ค้ากว่า 600,000 รายก็เข้ามาอยู่ในระบบดิจิตอล ดังนั้นสิ่งที่รัฐมีมากมายคือ ‘Data ข้อมูล’ ลองจินตนาการต่อไปว่าในอนาคต หากรัฐเปิดโอกาสให้เราคนไทยเสนอขายสินค้าโดยตรงกับผู้บริโภคตามฐานข้อมูลที่รัฐมี และรัฐยังช่วยสนับสนุนด้วยโปรโมชั่นต่างๆรวมถึงบริการส่งของผ่าน ไปรษณีย์ไทย…นี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของ e-commerce platform ของไทยที่เรารอคอย
โดยสรุปคือข้อมูลเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากต่อการนำมาพัฒนา E-commerce Platform ต่อในอนาคต นอกจากทำให้เงินไม่ไหลไปแพลตฟอร์มต่างประเทศแล้ว ยังช่วยให้สินค้าไทยมีพื้นที่ตลาดที่ชัดเจนของเราเอง ข้อมูล data พฤติกรรมคนไทยไม่รั่วไหลไปสู่ต่างชาติ รวมถึงสามารถช่วยประเทศไทยให้เข้าสู่ระบบ Cashless Society ปัญหาหนึ่งของรัฐไทยคือการทำงานแบบ ‘silo’ คือต่างคนต่างทำ อย่างกรณีนี้ข้อมูล ‘คนละครึ่ง’ อยู่ที่กระทรวงการคลัง แต่ผู้ที่มีพันธกิจสร้าง e-commerce platform คือ กระทรวงดิจิตอล และกระทรวงพาณิชย์ ดังนั้นการขับเคลื่อนจึงต้องมีวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์จากส่วนกลางที่ชัดเจนกว่านี้ #ไทยจะดีกว่าถ้ากล้าลงมือทำ