“จตุพร”ลั่น!! ยังยึด”อุดมการณ์”ก่อน กัดฟัน แฉแหลก “แม้ว-ปู” พังเพราะอิทธิฤทธิ์เจ๊

313

ประธานนปช. ร่ายยาว ยืนยัน ยังยึดมั่น”อุดมการณ์” คนเสื้อแดง แต่กลับโดนใส่ร้ายป้ายสี ชี้ทุกเรื่อง ถูกบงการมาจาก”เจ๊-เพื่อไทย” รวมถึง” ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ต่างตกทุกข์ ได้ยาก เพราะอิทธิพลทางการเมืองของ “เจ๊” รายนี้

เพจเซบุ๊ก Peace News โพสต์ข้อความลงวันที่ 10 ธ.ค.2563 ระบุว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟชบุ๊คไลฟ์ peace talk หัวข้อ “ระบอบติ่งกับตำแหน่งประธาน นปช. ตอน 1” ร่ายยาวถึงคนเสื้อแดงเชียงใหม่นั่งโต๊ะป้ายสี ไล่ออกจากประธาน นปช. ล้วนมีเบื้องหลังจากสั่งการของ “เจ๊” ซึ่งเป็นผู้ใหญ่พรรคเพื่อไทยที่ชอบเล่นการเมืองหลบอยู่ในที่มืด

นายจตุพร ย้ำว่า ทั้งตนและนายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงใหม่ ถูกขบวนการใส่ร้าย กล่าวหา ผลักใสให้ไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการในสังกัดพรรคพลังประชารัฐ ล้วนเป็นอิทธิฤทธิ์ “เจ๊คนนี้” สั่งการ จึงขอเชิญเจ๊ออกมาทำการเมืองในที่แจ้งจะดีกว่า

อีกทั้ง อธิบายว่า ระบอบติ่ง เป็นความนิยมเฉพาะส่วนโดยไม่ฟังเหตุผล หากไม่พอใจก็บูลลี่ (เสียดสี ใส่ร้ายเป็นเท็จ) และในความจริงแล้วในติ่งนั้นยังมีอวตาร แล้วไปปฎิบัติการต่อ ดังนั้น ตนจึงเลิกบล็อกพวกวิจารณ์เท็จ แต่ให้บูลลี่กันอย่างสบายใจ แล้วต่อไปคงฟ้องร้องดำเนินคดีให้รับผิดชอบกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อตนเห็นต่างจากพรรคเพื่อไทย กรณีเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ เพียงแค่อ้าปากจะพูดก็ถูกวิจารณ์อย่างขาดเหตุผลแล้ว ดังนั้น จึงจำเป็นต้องพูดถึงขบวนการ นปช. ซึ่งตำแหน่งประธาน เป็นแค่หัวโขน ไม่มีเงินเดือน ตรงกันข้ามกลับมีแต่คดีถูกฟ้องร้องมากมาย

นายจตุพร ยกคดีทางการเมืองหลายข้อหา มาโต้ตอบการถูกวิจารณ์บิดเบือนใส่ร้ายถึงการเจรจาแลกเปลี่ยนไม่ต้องถูกลงโทษว่า ในคดีชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาร์เทเวศน์ ตนถูกฟ้องในสำนวนที่ 2 ซึ่งโอกาสถูกลงโทษมีมากไม่แตกต่างการพิพากษาในสำนวนที่ 1 อีกอย่างคดีแพ่งยังถูกศาลฎีกาพิพากษาให้ชดใช้ค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท นอกจากนี้ยังถูกฟ้องให้นับโทษใหม่อีกครั้ง

โดยคดีเหล่านี้ล้วนถูกดำเนินการหลังจากที่ตนออกจากเรือนจำพิเศษมาแล้ว แต่กลุ่มคนในระบอบติ่งยังวิจารณ์อย่างเสียหายว่า มีการเจรจาแลกเปลี่ยน ไม่ต้องถูกดำเนินคดีกันอีก ซึ่งคนเหล่านี้ไม่ฟังเหตุผลที่ตนได้อธิบายมาเลย

“ผมยกเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพื่อว่า พวกหน้าโง่ทั้งหลายที่พยายามอธิบายว่า ผมไปแลกเปลี่ยนเรื่องคดีความนั้น ผมไม่รอดแม้แต่คดีเดียว คดีพัทยา และคดีชุมนุมปี 52 ผมก็โดนเท่ากับคนอื่น ส่วนคดีก่อการร้ายก็เป็นจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นยกคำร้อง แต่อัยการยื่นอุทธรณ์ เมื่อจำเลย 3 คนอยู่ระหว่างติดคุกไม่ได้ใช้สิทธิ์แก้อุทธรณ์ จำเลยทุกคนจึงร้องให้ตัดสินทุกคนในคราวเดียวกัน ซึ่งผมไม่ควรเอาตัวรอดคนเดียว เมื่อร่วมเป็นร่วมตายกันแล้ว ก็ควรเสมอภาคกัน”

ส่วนการยัดเยียดข้อกล่าวหาที่แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่เรียกร้องให้ลาออกจากตำแหน่งประธาน นปช. เนื่องจากไปช่วยนายบุญเลิศ ลงเลือกตั้งนายก อบจ.เชียงใหม่ รวมทั้งกล่าวหานายบุญเลิศไปอยู่พลังประชารัฐ แต่ไม่ช่วยพรรคเพื่อไทยนั้น นายจตุพร กล่าวว่า หากตนลาออกแล้ว ย่อมแสดงว่าไปอยู่พลังประชารัฐ ตามข้อกล่าวหาทุกประการ แต่ตนยังยืนยันจุดยืน พร้อมประกาศชัดเจนถึงการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจนกว่าประชาชนประกาศชัย

“ผมบอกว่าเสื้อแดง หรือเสื้อสีใดก็ตามมันอยู่ที่เปลือก สาระสำคัญสำคัญเป็นแก่นที่เป็นจิตวิญญาณ ถ้าผมจะลงก็ลงอย่างประชาธิปไตย ไม่ใช่มาจากบุคคลแม้เป็นเสื้อแดง แต่ไปสนับสนุนพรรคเพื่อไทยชัดเจนแถลงไล่”

รวมทั้ง ย้ำว่า ก่อนตนจะไปเชียงใหม่ นายแก้ว (เสื้อแดงเชียงใหม่) ได้ส่งคลิปมาให้พี่หมู ว่าได้จัดเวทีปราศรัยที่อำเภอฝาง แล้วโทรศัพท์บอกพี่หมูว่า คนมาจำนวนมาก และนายบุญเลิศ กำลังแก้เกมด้วยการจ้างจตุพรไปแก้เกม

อย่างไรก็ตาม ตนรู้เรื่องนี้เมื่อลงเครื่องบินที่เชียงใหม่ และได้คุยกับนายแก้วทางโทรศัพท์ และบอกว่า เป็นสิทธิของคุณที่จะช่วยเพื่อไทย ส่วนตนนั้นเห็นว่าตระกูล “บูรณุปกรณ์” เสมอต้นเสมอปลายกับแกนนำ นปช.ส่วนกลางทุกคนมาตลอดเวลา

“ผมเห็นว่าเขา (บุญเลิศ) ถูกกระทำและถูกจับทั้งโคตรเพราะรณรงค์ไม่รับร่าง รธน.ปี 60 ซึ่งเป็นทั้งนโยบายของ นปช.และของพรรคเพื่อไทย น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ เป็นเหมือนน้องสาวผม เมื่อเด็กชุมนุมถูกยิงแก๊สน้ำตา เธอลุกพูดในสภาว่า อีกฝ่ายหนึ่งชุมนุมก็แจกน้ำส้ม ส่วนอีกฝ่ายแจกแก๊สน้ำตา พร้อมจะอาสาเป็นคนประกันตัวเด็กมาชุมนุมที่ถูกจับด้วย คนมีทัศนคติแบบนี้หรือจะไปอยู่กับฝ่ายเผด็จการ”

นายจตุพร กล่าวว่า ถึงอย่างไรตนก็จะยืนเคียงข้างนายบุญเลิศ เพราะเขาโดนคดีไม่รับร่าง รธน. แล้วยังถูกจับติดคุกเมื่อ 26 ก.ค. 2559 และยังถูกสั่งให้หยุดทำหน้าที่ นายก.อบจ.เชียงใหม่ 2 ปี โดยคดีที่ถูกกระทำนั้น เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่เป็นคดีทุจริตมิชอบ

“นายแก้วจะเลือกช่วยพรรคก็ช่วยไป แต่อย่าใส่ความ กล่าวหากันว่าถูกจ้างมาแก้เกม ผมไปช่วยนายบุญเลิศ เพราะเลือกเอาความถูกต้อง แต่นายแก้วกลับอ้างว่า นปช.กับเพื่อไทยเป็นสองขากัน แต่การเลือกตั้งปี 2562 คนเสื้อแดงถูกแยกไปยิ่งกว่าแมงมุมเสียอีก ทั้งช่วยเพื่อชาติ อนาคตใหม่ พลังปวงชนไทย เพื่อไทย ประชาชาติ คนเสื้อแดงก็ไปช่วยอย่างมีเสรีภาพต่อกันทั้งนั้น”

นอกจากนี้ ย้ำว่า ตนไม่เคยทำตามพรรคเพื่อไทยในสิ่งที่ไม่ชอบธรรม เคยพูดในที่ประชุมพรรคว่า คนเสื้อแดงไม่ใช่ของตายของพรรคเพื่อไทยที่จะทำอะไรก็ได้ ยิ่งช่วงออก พรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย ตนก็ค้านหัวชนฝาเช่นกัน เนื่องจากจะทำให้พังทั้งขบวนการ แล้วนำพาให้รัฐบาลไปติดกับดัก ซึ่งพรรคเพื่อไทยโกรธมาก แล้วถอดพวกตนออกจากผังรายการทีวีทั้งแผงเลย

“เพราะหลักคิดนักการเมืองกับนักต่อสู้ย่อมมองไม่เหมือนกัน ตลอดเป็นรัฐบาลนั้น ควรสร้างประชาชนให้แข็งแรง แต่กลับถูกแบ่งแยกแล้วปกครอง ซึ่งผมไม่อีนังขังขอบอยู่แล้ว ได้แต่มองเฉยๆ เมื่อเอานักการเมืองไปจัดการมวลชนแทน มวลชนจึงไม่ได้มาชุมนุมด้วยหัวใจ การเอานักการเมืองไปจัดการแทนนั้น คงเกิดจากไม่เข้าใจ ไม่ไว้วางใจนักต่อสู้ จนทำให้มวลชนมาชุมนุมลดน้อยลง แล้วนำพาไปสู่ถูกยึดอำนาจปี 2557”

นายจตุพร กล่าวว่า บรรดาพวกติ่งทั้งหลาย ไม่ได้อยู่ในขบวนนี้อย่างเข้าใจ แต่อยู่แบบพวกรับใช้พรรคการเมือง จนนำพาไปสู่การรัฐประหารโดยไม่มีโอกาสต่อสู้อะไรเลย ยิ่งวันที่ 21-22 พ.ค. 2557 คนเหลือชุมนุมไม่ถึง 500 คน เพราะเรื่องคนนั้น มีคนรับผิดชอบจัดการมา แต่น้อยกว่าปี 2553 เป็น 10 เท่า และตนยังมีความสงสัยอยู่ถึงปัจจุบัน

“ผมจะบอกให้ว่า ยินดีจะลุกออกจากตำแหน่งประธาน นปช.ด้วย แต่ไม่ใช่มาจากคนพวกคุณมาชี้หน้าว่า มาช่วยบุญเลิศ และบุญเลิศไปช่วยพลังประชารัฐ ซึ่งวันที่พรรคเพื่อไทยทิ้งเขานั้น พรรคพลังประรัฐยังไม่ได้ตั้งเลย เมื่อผมชี้แจงก็ถูกกล่าวหาว่าโจมตีพรรคเพื่อไทย ทั้งที่คุณบอกว่าบุญเลิศจ้างผมมา เมื่อผมบอกว่าเกิดอะไรขึ้น คุณก็ชักดิ้นชักงอ คุณเป็นมนุษย์พันธุ์ไหนกันแน่”

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ตนให้คนไปถามว่า เพราะอะไรจึงนั่งแถลงข่าวกัน เขาบอกว่าผู้ใหญ่สั่ง ในลึกๆตนคิดถึงเจ๊คนเดียว เพราะเจ๊ทำพังมาแล้ว 2 รัฐบาล ทั้งรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ล้วนอิทธิฤทธิ์เจ๊ทั้งนั้น ลองไปไล่ตรวจดูเอา

“และวันนี้ที่เชียงใหม่ที่ทำลาย พังกำแพงมิตรภาพนั้น ก็จะพังเพราะเจ๊อีก ควรออกมาที่แจ้งเถิด อย่าหลบไปที่มืด ผมให้ความเคารพอดีตนายกทักษิณอย่างไรก็เคารพอย่างนั้นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยน บุญเลิศบอกผมว่า ถ้านายกทักษิณ โทรมาบอกไม่ให้ลง เขาก็ไม่ลง แต่เมื่อผลักเขาออกไป แล้วยัดเยียดเขาเป็นพลังประชารัฐ ทั้งที่ไม่ได้เป็นจริง เขาจึงไม่มีทางเลือกอย่างอื่น นอกจากสู้เพื่อหาความยุติธรรม”