“กรณ์” เสนอ !! ครม.ปรับหลักเกณฑ์เยียวยาโควิด ยึดตัวเลข และ ความเป็นจริง

55

หัวหน้าพรรคกล้า  หวั่นเปิดประเทศไม่ได้ใน 120 วัน หากไม่เพิ่มการฉีดวัคซีน เสนอรัฐอัดฉีดเงินเยียวยาลูกจ้าง และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อเนื่อง 3 เดือน ชี้เม็ดเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับเงินกู้ 5 แสนล้านที่รัฐมีอำนาจในมือ

วันที่29 มิ.ย.2564 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไลฟ์สดผ่านเฟซบุค แสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์โควิด ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นแตะเกือบห้าพันรายต่อวัน ในขณะที่มีผู้หายป่วยออกจากโรงพยาบาลมีจำนวนประมาณ 3,000 ราย นั่นหมายความว่าจำนวนเตียงที่ว่างติดลบไปถึง 2,000 เตียง พรรคกล้าและอีกหลาย ๆ องค์กรที่ได้พยายามเป็นผู้ประสานหาเตียงให้ผู้ป่วยทราบดีว่ามีความยากลำบากมากโดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายครอบครัวต้องเป็นทุกข์กับการรอเตียง

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ ทำให้เราสัมผัสได้ว่า จำเป็นต้องปรับยุทธศาสตร์ และทัศนคติที่มีต่อไวรัสแน่นอนว่า คำตอบสุดท้ายคือ การฉีดวัคซีน ซึ่งในปัจจุบันมีการฉีดวัคซีน 250,000 เข็มต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 7.5 ล้านเข็มต่อเดือน และภายในสิ้นปีก็จะฉีดได้ประมาณ 40 ล้านเข็ม เมื่อเทียบกับเป้าหมายที่จะไปให้ถึง 100 ล้านเข็ม จึงยังห่างไกล ต้องปรับการฉีดให้ได้วันละ 500,000 เข็มจึงจะเข้าเป้า และครอบคลุม นอกจากนี้สิ่งที่น่าห่วงคือ การเปิดประเทศภายใน 120 วัน ตามที่นายกรัฐมนตรีประกาศไว้ ซึ่งหมายความว่าภายใน 4 เดือน ประชาชนคนไทยจะต้องเข้าถึงวัคซีนได้แล้ว 70% แต่หากยังฉีดกันในจำนวน 250,000 เข็มต่อวัน ไม่มีทางทันแน่นอน วันนี้รัฐบาลจึงต้องประเมินตามสถานการณ์ความเป็นจริง หากไม่ยอมรับความจริงก็จะไม่สามารถเตรียมมาตรการได้ทัน และจะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตามมา หากเราเปิดประเทศได้ช้า

“หมดเวลาที่เราจะพยายามนำเสนอข่าวให้เข้าหู ว่าเป็นข่าวดี แต่เป็นจังหวะที่ผู้นำต้องกล้าที่จะพุดความจริงกับประชาชน เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เร่งเตรียมตัว ในส่วนของการฉีดวัคซีน ถ้าเราจะเปิดประเทศให้ได้ ต้องฉีด 70% ของประชากร แต่อัตราที่ฉีดปัจจุบันไม่มีทางถึงแน่นอน และการฉีดเพียงเข็มเดียวก็ยังไม่สมควร ประเด็นที่ท้าทายคือ รัฐบาลจะบริหารจัดการให้เพียงพอและทันท่วงทีได้อย่างไร โดยเฉพาะสถานการณ์ผู้ป่วยที่เพิ่มสูงขึ้น เตียงขาดแคลน ซึ่งเป็นภาวะที่หนักหนาสาหัสต่อระบบสาธารณสุขอย่างมาก เราจึงต้องมาปรับความคิดกัน แนวโน้มการทำมาหากินของคนไทยที่ต้องทนความยากลำบากกันไปอีกเท่าไร และจะต้องปรับตัวกันอย่างไร ต่อสัญญาณที่รัฐบาลส่งออกมา” นายกรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ ต้องยอมรับว่าต้นตอการแพร่เชื้อส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมใต้ดิน และในส่วนของแคมป์คนงานก็เป็นเรื่องที่พวกเราได้ตักเตือนเจ้าหน้าที่ของรัฐมาหลายเดือนว่าให้ระมัดระวังว่าจะเป็นแหล่งแพร่เชื้อสำคัญ ซี่งหละหลวมมากในการตรวจสอบ กทม.ควรต้องมาตรวจสอบเชิงรุกว่ามีใครอาศัยอยู่ในแคมป์บ้าง ห้ามเข้าออก ห้ามเปลี่ยนคนงาน แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ได้เข้มงวด จนทำให้กลายเป็นคลัสเตอร์การแพร่เชื้อ และการประกาศมาตรการกึ่งล็อคดาวน์ที่รัฐปรากาศออกมาล่าสุด ก็สร้างความอึดอัดให้กับประชาชนและผู้ประกอบการร้านอาหาร ที่เขารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเพราะไม่ใช่ความผิดเขาที่ระวังตัวกันมาตลอด แต่ต้องมารับเคราะห์กรรมจากมาตรการ ที่ทำให้เขาขาดรายได้อีกรอบ และเป็นการประกาศอย่างฉับพลัน ทำให้ร้านค้า ร้านอาหารตั้งตัวแทบไม่ติด เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ดังนั้นการจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน หรือ 4 เดือน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเตรียมพร้อม

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวด้วยว่า มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการ เริ่มมีนโยบายที่เข้าเป้า พรรคกล้าเรียกร้องมาโดยตลอดโดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหาร วันนี้รัฐบาลตั้งงบไว้ที่ 7,500 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นงบจากกองทุนประกันสังคมที่มีผู้ประกันตนอยู่เกือบเจ็ดแสนคน ตามกฎหมาย โดยกำหนดให้พวกเขาได้รับสิทธิชดเชยรายได้ 50 เปอร์เซ็นต์ ชดเชยรายได้สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท รวมถึงการจัดสรรเงินจาก เงินกู้ พ.ร.ก.ห้าแสนล้าน เพิ่มเติมให้รายละ 2,000 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายให้แค่ครั้งเดียวและเดือนเดียว นอกจากนี้ รัฐจะเยียวยาให้ผู้ประกอบการเพิ่มเติมตามรายหัวลูกจ้าง โดยคำนวณตามสูตร ลูกจ้างจะได้รับเยียวยา 3,000 บาท เพดานสูงสุดไม่เกิน 200 คน หรือไม่เกิน 600,000 บาท ต่อกิจการ เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาในแง่ภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งก็สมเหตุสมผล เพราะเป้าหมาหมายหลักที่เราเรียกร้องคือ เอสเอ็มอี ผู้ประกอบการรายเล็ก ก็มีลูกจ้างแค่หลักหน่วยหลักสิบ เพดานดังกล่าว น่าจะครอบคลุมได้ทั้งหมด

“นโยบายลักษณะนี้ มาถูกทาง แต่ไม่น่าเพียงพอ สำหรับลูกจ้าง การได้รับเงินชดเชย จากกองทุนประกันสังคมสูงสุด 7,500 บาท และเมื่อร่วมกับเงินสมทบทุนอีก 2,000 บาท หากคิดเป็นสัดส่วนรายได้เฉลี่ย 20,000 บาทต่อเดือน ก็ยังต่ำกว่าครึ่ง ไม่น่าเพียงพอ ต่อภาระค่าใช้จ่ายที่ทุกคนต้องมี และยิ่งมาตรการที่ประกาศให้เพียงแค่ 1 เดือน ยิ่งทำให้ผู้ประกันตนมีความกังวลว่าเมื่อพ้นเดือนไปแล้วเขาจะอยู่อย่างไร ดังนั้น จึงอยากฝากไปถึง ครม.เศรษฐกิจที่พิจารณาเรื่องนี้ว่า ขอให้ขยายวงเงินและขยายเวลาในการช่วยเหลือ โดยวงเงินสมทบที่เหมาะสมคือ 5,000 บาท บวกกับเงินชดเชยรายได้สูงสุด 7,500 บาทก็จะเป็นเงิน 12,500 บาท ก็น่าจะพอประทังชีวิตให้กับครอบครัวช่วงนี้ ผมคำนวณแล้ว ในแง่ภาระต่องบประมาณของรัฐเป็นวงเงินที่น่าจะแบกรับไว้ได้ เพราะวงเงินที่รัฐจัดสรรไว้เพื่อการชดเชยให้ผู้ประกันตน และผู้ประกอบการโดยรวมมีเพียงแค่ประมาณ 4,000 ล้านบาท งบที่รัฐบาลประกาศไว้รวมกับกองทุนประกันสังคมเป็นเงิน 7,500 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเงินกู้ 5 แสนล้าน มันน้อยมาก นี่คือวิธีการที่จะเยียวยาที่ถูกจุด ตรงเป้าที่สุด และต้องขยายเวลาไปเป็นสามเดือน และถ้าเป็นไปอย่างที่ผมเสนอขยายวงเงินจาก 2,000 เป็น 5,000 บาท รัฐจะต้องจัดสรรเงินเพิ่มเป็น 5,000 ล้านบาท ต่อเดือน ภาระค่าใช้จ่ายของรัฐ ก็จะเพิ่มเป็น 15,000 ล้าน จาก ห้าแสนล้านซึ่งเป็นอำนาจในมือ ที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ และจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ไม่ได้เป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อในรอบปัจจุบันแต่ต้องมารับเคราะห์แทน” นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึง ภาพยาวที่รัฐบาลต้องเตรียมการไว้เพิ่มเติมสำหรับการเยียวยาพี่น้องประชาชนและผู้ประกอบการ คือ เท่าที่ดูสถานการณ์ โอกาสที่เราจะอยู่สถานภาพที่จะเปิดประเทศได้ใน 120 วัน อย่างเก่งคือ 50:50 อย่างที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า โอกาสจะไปอยู่ที่ในจุดนั้นน้อยมาก และหากวัคซีนมาช้า ภายในสิ้นปีก็อาจไม่ทัน และอาจทอดยาวถึงต้นปี หรืออาจจะถึงกลางปีหน้า เราต้องอดทนไปนานถึง 6 เดือน ถ้าโชคร้ายก็เป็นปี ในสถานการณ์ที่เป็นจริงเช่นนี้ รัฐบาลมีมาตรการอะไร เพื่อที่ประชาชนจะคลายความกังวลและสบายใจในการต่อสู้ได้บ้าง งบประมาณ 5 แสนล้านต้องใช้อย่างสมเหตุสมผล ซึ่งเพียงพอในระดับที่มีความน่าเชื่อถือ ต้องคิดให้รอบด้านเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชนว่ารัฐคิดเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์ที่อาจเลวร้าย จังหวะนี้ การเข้าถึงข้อมูลข้อเท็จจริง เรื่องของการสื่อสาร เรื่องของแนวโน้มโอกาส และการเตรียมมาตรการที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบนอกจากนี้

นายกรณ์ ยังได้หยิบยก ข้อเสนอ 5 ข้อ ที่พรรคกล้า ได้เคยนำเสนอไปแล้วเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการต่อเนื่องเพื่อลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ซึ่งประกอบไปด้วย

1.ควรเร่งเจรจากับ Platform online ที่ร้านอาหารทั้งหลายใช้เป็นช่องทางขายและจัดส่งอาหารอยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้คิดค่าธรรมเนียมการใช้บริการหรือ GP เกินร้อยละ 15 อย่างน้อยก็ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการและประชาชน

2.รัฐควรช่วยเหลือเยียวยาค่าจ้างเงินเดือนของพนักงานในร้านอาหารเหล่านี้ร้อยละ 50 ในช่วงที่รัฐบาลประกาศห้ามมีลูกค้านั่งในร้านอาหาร

3.งดการจัดเก็บภาษีในรอบระยะเวลาบัญชี 1 ปีที่ผ่านมา ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่ง

4.ผ่อนผันการผ่อนชำระเงินกู้และดอกเบี้ยของผู้ประกอบการร้านอาหาร ด้วยมาตรการงดผ่อนต้นผ่อนดอก ไปอีกอย่างน้อย 6 เดือน

และ5.ในกรณีที่ร้านอาหารมีค่าเช่าพื้นที่ เช่น ร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เจ้าของพื้นที่ควรลดค่าเช่าให้ด้วย อย่างน้อยร้อยละ 50 และเจ้าของพื้นที่สามารถนำส่วนลดที่ให้กับร้านอาหารเหล่านั้น ไปขอลดหย่อนภาษีจากทางรัฐบาลได้ ในรอบบัญชีถัดไป เพื่อเป็นการชดเชยและลดค่าใช้จ่ายให้ร้านอาหารที่ต้องเสียค่าเช่าทุกเดือน

“อยากฝากบอกว่า พรรคกล้า เราจะติดตามและเสนอแนะรัฐบาลอย่างสร้างสรรค์ เพื่อช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เราเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงความเห็น เสนอแนะวิธีการที่จะช่วยให้เขาอยู่รอดได้ มีวิธีใดได้บ้าง บางส่วนก็นำไปสู่การปฏิบัติ บางส่วนก็ยังไม่ได้ทำ” นายกรณ์ กล่าว