วิพากษ์มุสลิมยึดติดกับตัวอักษร (คำสอน) มากกว่าสาระสำคัญ ของคำสอน และไม่ยอมสนับสนุนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 

664

เพื่อนคนหนึ่ง ส่งสุนทรพจน์ ของท่านมหาฎีร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เกรียงไกร แห่งมาเลเซียมาให้ อ่านแล้วโดนใจ เลยอยากมาแบ่งปันกันครับ
“การก่นด่า และโกรธแค้น ไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรเลย…” สุนทรพจน์ที่ประชุม OIC ปี 2003
…ข้าพเจ้าจะไม่หยิบยกตัวอย่างของการกดขี่และเหยียดหยามขึ้นมาพูดในที่นี้ และข้าพเจ้าก็ไม่ประสงค์จะประณามผู้ที่ทำลายล้างและกดขี่ (ชาวมุสลิม) นั้นด้วยเช่นกัน มันเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์ ด้วยเหตุว่าพวกเขาเหล่านั้นก็จะไม่ยอมเปลี่ยนทัศนะของตัวเองเพียงเพราะว่าถูกเราประณามแต่อย่างใด หากเราประสงค์ที่จะกอบกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีให้แก่ศาสนาอิสลามของเรา เราจะต้องเป็น “ผู้ตัดสินใจ” เราจะต้องเป็น “ผู้ลงมือทำ” เราละเลยและยังคงเพิกเฉยต่อคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามโดยสิ้นเชิงที่ว่าให้เรา รัฐบาลแห่งประเทศมุสลิมและประชาชน เป็นดั่งพี่น้องแก่กันและกัน แต่นี่ไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่เราละเลยเท่านั้น เรายังมีหน้าที่ต้อง “อ่าน” เพื่อแสวงหาความรู้ ดั่งที่บัญญัติไว้ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน
ชาวมุสลิมสมัยก่อนยังสนใจศึกษาหาความรู้แขนงอื่นๆ จนสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นนักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการ นักฟิสิกส์ นักดาราศาสตร์ต่างๆได้ และพวกเขายังมีความเป็นเลิศในสาขาที่ตนศึกษาอีกด้วย ขณะนี้เรามีความเข้มแข็งมาก เรามีแหล่งทรัพยากรน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรามีความมั่งคั่ง เราไม่โง่เขลาเหมือนพวกชนคนป่าเถื่อนในอดีต เราคุ้นเคยกับระบบการทำงานของเศรษฐกิจและการเงินของโลก เราควบคุม 50 ประเทศจาก 180 ประเทศในโลก เสียงโหวตของเราสามารถสร้างหรือทำลายองค์กรระหว่างประเทศใดๆก็ได้
แต่เนื่องจากเราไม่สนับสนุนองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เราต้องซื้ออาวุธจากผู้ที่มุ่งจะทำลายเราและศัตรูของเรา สิ่งนี้เกิดจากเราให้ความสำคัญกับรูปแบบมากกว่าสาระสาคัญของวจนะขององค์อัลเลาะฮฺ และยึดติดกับการตีความตามตัวอักษร (คำสอน) ขององค์ศาสดา
วันนี้หากพวกเขาจะบุกเข้ามาประเทศเรา เข่นฆ่าผู้คนของเรา ทำลายหมู่บ้านและเมืองของเรา เราจะไม่สามารถทำอะไรเพื่อป้องกันได้เลย ศาสนาอิสลามทำให้เราเป็นเช่นนั้นหรือ ปฏิกิริยาอย่างเดียวที่เรามีคือ ความโกรธที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ คนโกรธไม่สามารถคิดอะไรได้แจ่มชัด
ดังนั้นเราจึงเห็นบางคนในหมู่พวกเราที่โต้ตอบอย่างไร้เหตุผล พวกเขาจู่โจม ฆ่าใครก็ตามที่ขวางหน้ารวมไปถึงพี่น้องชาวมุสลิมด้วยกันเองเพื่ขอระบายความแค้นและขุ่นเคือง แต่จริงหรือที่เราไม่สามารถและไม่ควรทำอะไรได้เลย ชาวมุสลิมทำได้แต่การพาลโกรธ ไม่มีทางอื่นอีกแล้วหรือ นอกจากขอร้องให้คนหนุ่มสาวของเราระเบิดตัวเองฆ่าผู้อื่นและเชื้อเชิญการสังหารหมู่มาสู่เผ่าพันธุ์ของเรา
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีทางอื่นอีก เราสามารถยึดการต่อสู้ของท่านศาสดาที่ดำเนินมากว่า 23 ปีเป็นเครื่องนำทางให้เราว่าเราสามารถและควรทำอะไรได้บ้าง ข้าพเจ้าตระหนักดีว่าแนวคิดเหล่านี้จะไม่ได้รับความนิยมนัก กลุ่มคนที่โกรธแค้นคงอยากจะปฏิเสธและไม่ยอมรับ พวกเขาคงอยากแม้กระทั่งจะปิดปากใครก็ตามที่สนับสนุนแนวคิดนี้ พวกเขาคงจะส่งคนหนุ่มสาวไปเสวยชีวิต
แต่สิ่งนี้จะนำพาเราไปไหนกัน? ไม่ใช่ชัยชนะแน่นอน ตลอดเวลา 50 ปีของการต่อสู้ในปาเลสไตน์ เราไม่ได้อะไรเลย เรามีแต่จะทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ของเราย่ำแย่ลงไปอีก ศัตรูของเราอาจจะตอบรับข้อเสนอนี้ และเราจะได้ข้อสรุปว่าผู้ใดที่สนับสนุนก็คือผู้ที่ทำงานให้กับศัตรู แต่ลองคิดดู เรากำลังเผชิญหน้ากับผู้ที่คิด พวกเขารอดชีวิตจากการสังหารหมู่ (ชาวยิว) มากว่า 2000 ปี ไม่ใช่ด้วยการตอบโต้กลับ แต่เป็น “การใช้ความคิด…” (สติปัญญา)

cr:  ศ.พล.ท. ดร.สมชาย วิรุฬหผล