ส่อง! พื้นที่ 5จชต. สถานการณ์โควิด-19 เป็นอย่างไร?

การแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 กำลังลุกลาม สร้างความหวั่นไหวในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ปลายด้ามขวาน สงขลา สตูล ยะลา ปัตตานี และ นราธิวาส หลังพบข้อมูลว่า มียอผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 

มีรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 25 มี.ค.2563 นายชัยสิทธิ์ พานิชพงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้ลงนามหนังสือด่วนที่สุด ออกข้อบังคับใช้ ผ่านมาตรการฉุกเฉินนำไปสู่การ “ล็อกดาวน์” หรือ “ปิด” พื้นที่ “จ.ยะลา”

จากการแถลงพบว่า พื้นที่ จ.ปัตตานี มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสม 26 ราย ตามมาด้วย จ.ยะลา 24 ราย จ.สงขลา 18 ราย จ.นราธิวาส 6 ราย ขณะที่ จ.สตูล ข้อมูลถูกล้อมกรอบไว แต่ยืนยันว่าพบผูป่วยแล้ว

สาเหตุทำให้ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยง ต่อการแพร่ระบาดของผู้ติดเชื้อโควิด-19 และมีแนวโน้มจะลุกลามประมาจากสาเหตุมีชายแดนติดกับมาเลเซียที่ประกาศ “ล็อกดาวน์ประเทศ” อย่างเป็นทางการไปแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 มี.ค.2563

และพบข้อมูลการจัดกิจกรรมทางศาสนาในมัสยิดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มีผู้เข้าร่วมนับหมื่นคนเป็นตัวแพร่เชื้อแบบกระจัดกระจาย และในจำนวนนั้น มีผู้นำศาสนา และ คนในพื้นที่จชต. 132 คน ขณะเดียวกัน มีข้อมูลว่า วันที่ 24 มี.ค.2563 ในมาเลเซียมีตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นกว่า 1,500 ราย และเสียชีวิตแล้ว 15 ราย

ที่สำคัญหลัง มาเลเซีย การประกาศล็อกดาวน์ประเทศ ไปแล้ว ต่อมายัง ออกมาตรการเข้มข้น  “เคอร์ฟิว” ห้ามผู้คนออกจากเคหสถานในยามค่ำคืน และยังมีคำสั่งให้ “มลายูต่างด้าว” ที่ไปทำมาหากินในมาเลเซีย รีบเดินทางกลับประเทศตนเอง

ในส่วนนี้มีคนไทยเครือข่าย “ต้มยำกุ้ง” ที่เข้าไปเปิดร้านอาหารในมาเลเซีย กว่า 200,000 ถูกผลักดันให้เดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งจนถึงเวลานี้ก็เหลืออีกไม่น้อยที่ยังคงตกค้างอยู่ และมีแนวโน้มจะเดินทางกลับผ่านช่องทางธรรมชาติ โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการคัดกรอง

ดังนั้น คนไทยที่ถูกมาเลเซียผลักดันให้กลับบ้านคือ “กลุ่มเสี่ยงแบบสุดๆ” ที่ควรต้องถูกตรวจสอบ และต้องกักตัวคนละ 14 วัน ดังนั้นจากข้อมูล ผู้นำศาสนา 132 คนที่ไปร่วมพิธีดาวะห์ มี กรุงกัวลาลัมเปอร์  กลุ่มเสี่ยงนี้ จึงมีอยู่เกินกว่า 200,000 คน กระจายอยู่ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้

อีกประการหนึ่งที่ยังเป็นปัญหาใหญ่สุด ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 คือ  จังหวัดชายแดนใต้ที่ คนส่วนใหญ่ 90% นับถือศาสนาอิสลาม ให้ความสำคัญในการ “ปฏิบัติศาสนากิจ” จึงอาจนำไปสู้การ “ละเลย” ต่อการทำความเข้าใจในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสที่เกิดขึ้น

ถือหลักว่าชีวิตถูกลิขิตมาแล้ว การจะเป็นหรือตายจึงเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะละเลยต่อวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส ยังมีการใช้ชีวิตตามวิถีแบบเดิมๆ โดยไม่ให้ความสำคัญต่อวิธีการป้องกันตามคำแนะนำด้านสาธารณสุข

แต่ท่ามกลางวิกฤตก็ยังมี “โชคดี” อยู่บ้างที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้ต่างจากภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทย อีกทั้งมีหน่วยงานทั้งฝ่ายความมั่นคงคือ “กอ.รมน.ภาค 4.ส่วนหน้า” และมี “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ที่บูรณาการให้หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง เช่น กรมควบคุมโรคติดต่อ สาธารณสุขจังหวัด กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัด ให้สามารถขับเคลื่อนงานในความรับผิดชอบได้อย่างมีระบบ

หน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งมีกำลังพลพร้อม ต้องรับผิดชอบกับผู้ลักลอบเดินทางเข้าเมืองตามแนวชายแดนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ จ.นราธิวาส เพื่อป้องกันมิให้คนเหล่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นผู้ป่วยได้มีโอกาสแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสู่ผู้อื่น

รวมทั้งต้องช่วยเหลือฝ่ายปกครองในการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในหมู่บ้านต่างๆ ที่ผู้ป่วยมีภูมิลำเนาอยู่ ซึ่งลำพังผู้นำท้องที่ อสม. รวมถึงฝ่ายปกครองมีกำลังไม่เพียงพอ

สำหรับ ศอ.บต.ต้องชื่นชม พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ที่ให้ความสำคัญต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างสูงสุด นอกจากจะหารือทุกฝ่ายเพื่อวางมาตรการรับมืออย่างบูรณาการแล้ว

ยังให้ความสำคัญต่อการสื่อสารกับสังคมในเชิงรุกทุกด้าน โดยเฉพาะกับผู้นำศาสนา ผู้นำสถาบันปอเนาะ โรงเรียนสอนศาสนาและอื่นๆ อีกทั้งมีการตั้งศูนย์ประชาสัมพันธ์เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง รวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์ เพื่อให้สื่อมวลชนได้นำไปสื่อสารให้ประชาชนรับรู้

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่สุดของสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ที่ กลุ่มพี่น้องมุสลิมเคร่งศาสนา การแก้ปัญหาในเรื่องนี้ต้องให้ “ผู้นำศาสนา” สร้างความเข้าใจแทนเจ้าหน้าที่ เช่น การละเว้นการประกอบพิธีทางศาสนา การป้องกันด้วยการทำความสะอาดศาสนสถาน ร

วมถึงการทำความเข้าใจถึงอันตรายจากเชื้อไวรัส เพื่อช่วยกันปกป้องตนเองอย่าให้กลายเป็นเหยื่อมัจจุราชเงียบโควิด-19 ซึ่งแน่นอนนั่นถือเป็นงานยากและงานหนักของ ศอ.บต. แต่ก็ต้องดำเนินการให้สำเร็จ

กรณี “บัณฑิตอาสา” ที่อยู่ในทุกหมู่บ้านพื้นที่ 5 รงมกับ “อสม.” จะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนให้ความรู้และทำความเข้าใจกับประชาชนได้ทุกครัวเรือน ถ้า ศอ.บต.ทำได้เชื่อว่าการสื่อสารกับสังคมจะได้ผล และเป็นหนทางในการควบคุมการแพรระบาดในระดับหมู่บ้าน ตำบลและอำเภอรอบนอกได้จริง

ข้อสำคัญอย่าให้แต่พวกเขาไปทำหน้าที่อย่างเดียว แต่จะต้องมีค่าตอบแทนสำหรับผู้ที่ต้องเสียสละเพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ด้วย

ต้องไม่ลืมว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประกาศใช้ไปแล้ว “หาใช่ยาวิเศษ” และ “โควิด-19” ก็หาใช่ผู้ก่อการร้ายที่สร้างสถานกาณณ์ไฟใต้

การหยุดยั้งโรคระบาด ที่ได้ผลคือ ประชาชนทุกคนต้องเข้าใจสถานการณ์ รู้จักการป้องกันตัว และที่สำคัญต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ ด้านสาธารณสุข

แผ่นดิน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะหยุดตัวเลขการระบาดของโควิด-19 ได้หรือไม่ อยู่ที่การทำความเข้าใจกับผู้นำศาสนารวมถึงประชาชนต้องตระหนักร่วมกัน !

#ศอ.บต.# 5จชต.# โควิด-19# มาเลเซีย# งานดะวะห์