ชีวิตที่โลดโผน CEO หลายบริษัท ‘แจ็คกี้ หว่อง’

สังคมอาจจะยังไม่รู้จัก ‘แจ็คกี้ หว่อง’ มากนัก จนเมื่อมีข่าว กรณีดราม่า ‘ลี่หยาง’ แบรนด์ชาบู-หม่าล่าชื่อดัง ชื่อของเขา จึงเป็นที่รับรู้ เมื่อเจาะเข้าไป ชีวิตของ ‘แจ็คกี้ หว่อง’ นับว่า ไม่ธรรมดา จากครอบครัวมุสลิมจีนจากเชียงราย ทำธุรกิจตั้งแต่เรียนมัธยมศึกษา เป็น CEO บริษัทคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เรียนปริญญาตรี และโลดโผนโจนทยานไปสู่วงการบ่อนทีหม่าเก๊า ก่อนจะกลับมา และลี่หยาง เป็นที่รู้จักของสายกินทั้งหลาย

‘แจ็คกี้ หว่อง’ (Jacky JT.Wong) หรือจักรกริซ (ซอฟัร) ตานี เล่าว่า เขามีส่วนผสมปนเปของหลายเชื้อสาย ทั้งจีนฮ้อ มลายู อินเดีย และมีเสี้ยงหนึ่งที่เป็น’นานา’ด้วย เติบโตย่านชานเมืองเชียงราย ในครอบครัวครูที่ฐานะไม่ดีนัก ต้องช่วยพ่อแม่ทำงานตั้งแต่เด็ก ตอนเด็กต้องเดินวันละหลายกิโลเมตร จากเวียงชัย มายังตลาดเชียงราย พาน้องมาเรียนอนุบาล และช่วยแม่ขายขนม

‘เมื่อก่อนแม่จะนำขนม ใส่ในตะกร้าให้ผมเทินไปขาย คนเห็นว่า เป็นเด็กก็ช่วยกันซื้อ หยิงขนมแล้วใส่เงินลงในตะกร้า สมัย่ก่อนเขาไม่โกงกัน ก็ขายดี แม่ก็แบ่งเงินให้ผม ผมก็เอาเงินมาซื้อการ์ตูน ตอนเด็กชอบอ่านการ์ตูน จนเรียนมัธยมต้น หนังสือการ์ตูนผมมีเยอะ เลยนำมาวางไว้หน้าบ้านให้คนยืมอ่าน บ้านผมอยู่ใกล้โรงเรียน คนสนใจกันมาก ผมเลยเปิดเป็นร้านหนังสือการ์ตูนให้เช่า ทำชั้นล่างของบ้านเป็นร้านให้เช่า ร้านหนังสือการ์ตูนให้เช่าของผมได้รับความนิยมมาก เพราะมีหนังสือที่ออกทันสมัย เพราะสมัยนั้นที่เชียงราย หนังสือการ์ตูนจะออกช้ากว่าที่กรุงเทพฯ 2-3 สัปดาห์ เย็นวันศุกรื ผมก็นั่งรถทัวรืเข้ากรุงเทพฯมาซื้อหนังสือการ์ตูนที่ออกใหม่ไปวางที่ร้าน ร้านผมจึงได้รับความนิยมมาก เป็นอันดับ 1 ของเชียงรายก็ว่าได้ เพราะมีการ์ตูนที่ใหม่สุด’ แจ็คกี้ เล่าถึงธุรกิจของเขาในวัยมัธยมศึกษา
.
หลังเรียนจบระดับมัธยมฯที่เชียงราย แจ็คกี้หรือซอฟัร เล่าว่า เขาต้องตัดสินเลือกว่าจะเรียนต่อที่ไทยหรือไป เรียนไคโร อียิปต์ เพราะสอบได้ปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสอบฟัรดูอีน ได้อันดับ 1 ของภาคเหนือ ได้ทุนไปเรียนมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร แต่สุดท้ายเขาเลือกเรียนที่ มช.

‘ตอนจบมัธยม ผมตั้งใจจะไม่เรียนต่อ เพราะผมชอบการ์ตูนมาก อยากจะเป็นนักเขียนการ์ตูน และตอนจบมัธยมผมก็ได้เกรดไม่ดี เพราะไม่ค่อยสนใจเรียน อ่านแต่การ์ตูน แต่แม่ก็พูดว่า การ์ตูน ก็ใช่ แต่ต้องมีวิชาอย่างอื่นด้วย จึงไปสอบเอ็นเข้ามห่าวิทยาลัยเชียงใหม่ ผมจบเกรดไม่ดี แต่สอบได้อันดับ 1 ของเด็กเชียงราย เพราะจากสายวิทย์ ผมไปสอบสายศิลป์ และระดมอ่านข้อสอบเก่าๆ จนทะลุปรุโปร่ง จนได้เรียนบริหารธุรกิจที่มช. ‘ แจ็คกี่้ ในวัย 50 เล่าย้อนถึงวัยเรียน

เขา เล่าว่า ตอนเรียนมช. มีอาจารย์สอนเรื่องการทำธุรกิจ ส่วนตัวสนใจทำธุรกิจอยู่แล้ว จึงตัดสินใจลงทุนเปิดร้านคอมพิวเตอร์ ตอนนั้นเว้งร้านเช่าหนังสือการ์ตูนที่เชียงรายแล้ว เพราะดูแลไม่ไหว จากเชียงใหม่ต้องกลับไปเชียงรายระยะทางไกลมาก เปิดร้านคอมฯ โดยเปิดบริษัทไว้ที่กรุงเทพฯ ให้น้องชายดูแล เป็นห้องเล็กๆ ต่อมาก็ขยายเป็นซูเปอร์มาร์เก็ตคอนพิวเตอร์ที่กาดสวนแก้ว เช่าพื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตร เงินทั้งหมด ไปลงในร้านคอมพิวเตอร์ ขอโอดีจากธนาคารก็ได้ แต่ไม่ได้ใช้ แต่สุดท้ายร้านคอมพิวเตอร์ก็ล้มลง จากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 เงินโอดีที่เคยได้รับอนุมัติก็ถูกยังยั้ง เลยไปต่อไม่ได้ ต้องปิดร้าน หมดตัว

‘ผมเรียนจบปี 3 ปี 4 ไม่ได้เรียนต่อ เข้ากรุงเทพฯ ตอนนั้นมีเพื่อนชวนไปทำขายตรง ไปนั่งฟังเขา ก็เกิดไอเดีย ทำซอฟแวร์ให้กับระบบขายตรง ตอนนั้นยังเป็นสิ่งใหม่ และผมก็รู้เรื่องคอมพิวเตอร์ รู้เรื่องซอฟแวร์ แต่ทำได้ระยะหนึ่ง ตัดสินใจไปเรียนป.โท ที่อังกฤษ ก็ไปเรียน ป.ตรีต่ออีก 1 ปี และเข้าป.โท เรียนมหาวิทยาลัยห้องแถว ไม่ได้เด่นดังอะไร เรียนไปเรียนมาไปเจอมาเฟียจีน คบหากันถูกคอ จึงถูกชวนไปอยู่บ่อนที่มาเก๊า ไปดูเรื่องการเงิน ทำอยู่หลายปี มีเครือข่ายมาเก๊า ฮ่องกง ฟิลิปปินส์ จนพ่อผมป่วย จึงตัดสินใจกลับประเทศไทย เจ้านายให้เงินมาตั้งตัว 1,000 ล้านบาท’ แจ็คกี้กล่าว

‘ผมต้องกลับมาดูแลพ่อ เพราะตอนที่ผมอยู่เมืองนอก มีลูก 8 คนส่งมาให้พ่อกับแม่เลี้ยง ถึงเวลาที่ต้องตอบแทน แต่กลับมาก็ทำผิดพลาดเจอคดีการเงิน ต้องเก็บตัวนาน 15 ปี จนคดีหมดอายุความ ตอนนั้นมาทำธุรกิจเปิดบริษัททำเกี่ยวกับโซเชียล มีเอ็นฟูอินเวอร์ อยู่ในมือ หลายสิบคน เซ็นทรัลจะจัดงานอีเวนต์ คู่ระกหลายเชื้อชาติ บริษัทที่รับเงินไปทำไม่ได้ ผมใช้เวลาคืนเดียว ประสานกับฟลูอินเซอร์ ทำได้ จนเป็นที่ยอมรับ เป็นบริษัทอันดับต้นๆของประเทศ’ แจ็คกี้ กล่าว

เขา เล่าว่า แม้จะเป็นอย่างไร ทำอะไร ในชีวิตไม่เคยทิ้งละหมาด เพราะติดมาตั้งแต่เด็กตามปู่ไปละหมาดที่มัสยิดเกือบทุกวัน และมีเมียทีละคน เด็กอินฟลูเอ็นเวอร์สวยๆก็ไม่ค่อยยุ่ง เลิกคนเก่า จึงมีคนใหม่ แต่สุดท้ายก็ทิ้งบริษัททำโซเชียลไป และตัดสินใจทำลี่หย่าง (อ่านในล้อมกรอบ)

แจ็คกี้ กล่าวว่า เขาสนใจการเงินอิสลาม และเห็นว่า การเงินอิสลามหากทำได้สำเร็จก็จะลดความสำคัญของทุนยิว ที่กำลังครอบครองโลกอยู่ในเวลานี้

‘ประเทศไทยที่ชาติอาหรับไม่มาลงทุนมากนัก เพราะเราไม่มีหลักประกัน เราอาจจะมีที่ดิน แต่ที่ดินก็เอาไปไม่ได้ เราจึงจะต้องมีซูกุ๊ก เป็นหลักค้ำประกัน ซึ่งได้คุยกับธนาคารอิสลามฯแล้ว จะต้องใช้เวลา 2 ปี จึงคุยกับธนาคารในมาเลเซีย ที่มีประสบการณ์ในการออกซูกุ๊ก เพื่อมาออกในประเทศไทย เพื่อดึงอาหรับเข้ามาลงทุน หากทำได้จะช่วยให้การเงินอิสลามในประเทศไทย ก้าวหน้า ส่วนตัวไปทำงานกับดุไบ ได้รับใบอนุญาตทาวการเงินจากดูไบ คิดว่า เราทำได้ และเราจะต้องมี’ แจ็คกี่ หว่อง กล่าวถึงสิ่งที่เขากำลังทำ และเป็นงานที่เขาบอกว่า สำคัญมากของโลกอิสลาม ที่จะสามารถต่อสู้กับยิวได้

นี่เป็นชีวิตที่โลดโผนของ แจ็คกี้ หว่อง หนุ่มมุสลิมเชียงราย ที่ก้าวเดินไม่หยุด หลากหลายรสชาติ สู่อังกฤษ สู่มาเก๊า จากสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ได้กลับมาสู่แนวทางอิสลาม และกำลังจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมมุสลิม

หมายเหตุ: จากนิตยสาร Mtoday ฉบับเดือนกันยายน 2568