บอกลาชีวิตมนุษย์เงินเดือน สู่ชีวิตที่มีแต่การท่องเที่ยว อย่างเต็มรูปแบบ

338

จากพันทิพ /EDIT* กระทู้นี้ ไม่ได้เขียนมาเพื่อตัดสินว่า อาชีพ หรือ วิถีชีวิต ของใครดีหรือไม่ดีนะคะ เป็นแค่การแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ ที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เผื่อใครจะได้นำไปเป็นแรงบันดาลใจได้บ้างค่ะ

สวัสดีค่ะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราค่ะ  เพราะฉะนั้นก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนนะคะ
เราเป็นกราฟฟิคดีไซเนอร์ค่ะ ใช้ชีวิตแบบ “พเนจร” (ซึ่งฟังดูไร้อนาคต) หรือที่เรียกว่า Digital Nomad  (อันนี้ดูอินเตอร์ขึ้นมาทันที) มา 2 ปีกว่าแล้วค่ะ โดยมีรายได้มาจากบริษัท  มาร์เก็ตติ้ง & แบรนดิ้ง  ที่เรากับแฟนตั้งขึ้นมาค่ะ  ซึ่งงานที่มีก็จะทำผ่านทางอินเตอร์เน็ตค่ะ ไม่จำเป็นต้องมีออฟฟิศ
วันนี้ เราจะมาที่จะมาแชร์ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตแบบ “พเนจร”ค่ะ  ให้ดูว่าการใช้ชีวิตโดยท่องเที่ยวตลอดเวลา มันเป็นไปได้อย่างไร เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้ใครหลายๆคน หันมากระตุ้นตัวเองอย่างจริงจัง เพื่อจะใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการจริงๆ

โดยเราจะใช้นามปากกาว่า “ผู้หญิงพายเรือ” แล้วกันเป็นชื่อ page และบล็อกของเราด้วย ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ

มาเริ่มต้นกันเลย
digital nomad คืออะไร ก็อย่างที่บอกค่ะ มันคือการใช้ชีวิตแบบ “พเนจร” จะอยู่ที่ไหนก็ได้นานเท่าไหร่ก็ได้ (อันนี้ก็แล้วแต่วีซ่าด้วยนะคะ ^^) ในเมื่อใช้อินเตอร์เน็ตในการทำงาน จะอุปกรณ์หลักก็คือคอมพิวเตอร์หรือแท็บเล็ต แล้วแต่ความชอบค่ะ เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำงานอยู่ในออฟฟิศ อย่างตัวเราเองก็จะมีแล็ปท็อป 1 เครื่อง แท็บเล็ตกราฟฟิก 1 อัน และกล้องถ่ายรูปอีกหนึ่งตัว รวมถึงพวก อุปกรณ์ดินสอปากกาที่จะติดอยู่กับกระเป๋าเดินทางเสมอ
การทำงาน จะทำอยู่ที่บ้านร้านกาแฟ coworking space หรือที่ชายทะเล หรือกลางถนนแบบนี้ ก็แล้วแต่อารมณ์เลยค่ะ (ในรูปนี้คือแฟนเราเองค่ะ บอกให้เราถ่ายกลางถนน เอาขำๆ ^^)

การใช้ชีวิตแบบ ดิจิตอล nomad นั้น แตกต่างจากการเป็นแบ็คแพ็คเกอร์ค่ะ ตรงที่แบ็คแพ็คเกอร์ จะมีความ “ชั่วคราว” ขณะที่ DN จะเป็นสไตล์ “ต่อเนื่อง”  แบ็คแพ็คเกอร์เน้นเที่ยวให้คุ้ม ไม่ได้ทำงาน หรือทำแบบชั่วคราวที่ต่างประเทศเพื่อเก็บเงินก้อน เที่ยว 1 เดือน 1 ปี… พอเงินหมดก็หยุดเที่ยว อะไรทำนองนี้

แล้วอะไรที่ทำให้เราผันตัวมาเป็น digital nomad ?
สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากการเคยเป็นลูกจ้าง (ที่เคยเป็นเพื่อส่งตัวเองเรียนอย่างเดียวค่ะ หลังเรียนจบไม่ได้ทำงานในออฟฟิศ เคยไปฝึกงานเฉยๆค่ะ)  ไม่ว่าจะเป็น เด็กเสิร์ฟ แม่บ้าน เลขา คนทำพิซซ่า จัดเอกสาร ฯลฯ ก็คือ :  เราไม่ชอบการเป็นลูกจ้างเท่าไร ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง
ก่อนจะเรียนจบ บอกเลยว่า เรารู้สึกกลัวการทำงานในบริษัทมาก การได้ฝึกงานในบริษัทต่างๆทำให้เราไม่อยากใช้ชีวิตแบบนี้ เป็นคนกลัวความเครียดมาก กลัวเสียจนเครียดที่จะต้องเครียด 555

ทีนี้ จากการได้อ่านและเห็นผ่าน บล้อก & คอลัมน์ เกี่ยวกับชิวีตสไตล์ digital nomad ในโซเชียลต่างๆ  มาได้สักพัก บวกกับความกลัวชีวิตออฟฟิศ ไลฟ์สไตล์ที่ดูเหมือนจะมีอยู่จริงในแค่ instagram แบบนี้ มันก็เริ่มซึมซับเข้าไปในสมองของเรากับแฟนค่ะ (ที่จะเรียกว่า P แล้วกัน เป็นคนฝรั่งเศส) เรา 2 คนได้มองเห็นว่ามันมีทางอื่นที่จะใช้ชีวิตที่ไม่ใช่แบบ nine to five ของออฟฟิศปกติ
กระทั่งวันหนึ่ง P ทนไม่ได้กับการเป็นพนักงานบริษัทอีกแล้ว บอกกับเราว่า “นี่ ฉันอยากทำงานเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อคนอื่น พอเธอเรียนจบแล้ว เรามาเป็น digital nomad  กันเถอะนะ”
นะจุดๆนั้น ต้องบอกเลยว่า เราตอบตกลงแบบไม่ต้องอ้อนวอนกันเลยทีเดียว  แล้วพวกเราก็กลายมาเป็น digital nomads ภายในเวลา 4 เดือนหลังจากที่คุยกัน ง่ายๆแค่นั้นค่ะ

ดังนั้น ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2014 หลังจากที่พวกเราได้บอกลาครอบครัวที่สะเปะสะปะกันอยู่ในฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม (เราเป็นลูกครึ่งเบลเยี่ยมค่ะ แต่มาโตที่ฝรั่งเศส) เรา 2 คนได้บินไปกรุงเทพ เพื่อเริ่มใช้ชีวิตในแบบ digital nomad โดยไม่ได้คิดมากว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ไปลุยๆเอาละกัน แต่ก็แน่นอนว่าพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ปลอดภัยไว้ก่อนค่ะ
เริ่มจากการตั้ง “บริษัท” ของเราเองก่อน อย่างที่ได้บอกไปค่ะ เป็นบริษัทที่ทำดิจิตอลมาร์เกตติ้งและดีไซน์ เราเลือกทำทางนี้ เพราะก็เป็นสายงานที่เราเรียนมาพอดีค่ะ ซึ่งช่วงแรกๆ ก็มีแต่เว็บไซต์ ไม่ได้เป็นชิ้นเป็นอะไรมาก ต้องลองผิดลองถูกกันไปนั่นแหละค่ะ  พยายามเรียนรู้เอาจากเรื่องที่ทำถูกพลาด หรือที่ทำพลาด ผิดเป็นครู
สำหรับใครที่สงสัยว่า มันจะมีงานอะไรเยอะแยะ ที่ใช้แค่คอมทำ ที่จะช่วยให้เราไปเที่ยวเล่นตามอำเภอใจ ในปัจจุบันนี้ ก็จะมีงานจำพวก นักเขียน, บล๊อกเกอร์, copywriter, แอ็พโปรแกรมเมอร์,  webmarketer, เว็บมาสเตอร์, ดีไซเนอร์, ขายของออนไลน์ e-commerce, ผู้ปรึกษาธุรกิจ ครูสอนภาษา และอื่นๆอีกมากมายค่ะ บางคนที่ถึงขั้นมีร้านอาหาร / ร้านค้า เลยก็มี แล้วใช้ app ในการบริหารจัดการร้านเอาค่ะ อะไรที่คิดออก ถ้าอยากจะทำ ทำได้หมด

ตอนแรกๆ ก็แน่นอนว่าต้องประหยัด เพราะเราเริ่มจาก 0 กรุงเทพก็เลยถือว่าเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมในการเริ่มใช้ชีวิตแบบ digital nomad เพราะอยู่ง่ายกินง่ายค่ะ
จนกระทั่งเราได้ลูกค้ารายใหญ่คนแรกที่บาหลี ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน ต้องขอบอกเลยว่าฉลองกันอย่างแรง มันเป็นก้าวแรกที่สำคัญมากๆ

ในเมื่อมีอินเตอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญ ก็ต้องใช้มันเพื่อให้เรามีงาน มีลูกค้า และมีเงิน
นอกจากงานของลูกค้าเองแล้ว ต้องทำการตลาดของบริษัทตัวเองด้วย มีการประชาสัมพันธ์เรื่อยๆใน social หรือ mailing ส่วนในชีวิตประจำวันก็ต้องอัพเดทข่าวสารใหม่ๆตลอดเวลา อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะงานของเราจะได้เป็นประโยชน์จริงๆ
ตอนนี้ธุรกิจของเราก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และสิ่งที่เราจะทำเสมอก็คือฉลองความสำเร็จทุกๆครั้ง (เช่นได้ลูกค้าคนใหม่ ลูกค้าพอใจงาน…) แม้ว่ามันจะเล็กน้อย มันก็ช่วยให้เรามีกำลังใจและมีแรงที่จะไปต่อ

เมื่อมาใช้ชีวิตแบบนี้ มันก็จะตื่นเมื่อไหร่ก็ได้ กินเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ต้องมากลัวว่าจะมีใครมาบ่นอะไร แต่ความอิสระนั้นมันก็ต้องแลกมากับความรับผิดชอบ ที่ต้องเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้น  lifestyle แบบนี้จะทำให้เราเป็นคนมีวินัย เพราะถ้าไม่มีก็อดตายค่ะ 55 ต้องจัดการชีวิตอย่างสม่ำเสมอ ห้ามขี้เกียจ (มากจนเกินไป) ต้องรู้ว่าพรุ่งนี้ อาทิตย์หน้า เดือนหน้า เราต้องทำอะไร เป้าหมายของเราคืออะไร เพราะไม่งั้นก็จะไม่มีอะไรกระเตื้องเลยค่ะ (จากประสบการณ์โดยตรงเลยอันนี้)

ในทุกๆวันตอนนี้ จันทร์ถึงศุกร์ จะทำงานอยู่ในที่บ้านบ้าง ที่ร้านกาแฟกิ๊บเก๋บ้าง เพื่อให้ตรงกับเวลาทำงานของลูกค้าค่ะ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เราก็ออกไปเที่ยวเล่น ในประเทศที่เราอยู่ในตอนนั้น บางครั้งก็หยุด 3 วันติดกันแล้วไปเที่ยวเมืองที่อยู่ไกลออกไปหน่อย

ข้อดีของ DN ถ้าเทียบกับการไปเที่ยวแบบปกติ ก็คือเรามีเวลาที่จะเพลิดเพลินในเมืองที่เราอยู่มากกว่า ได้เห็นวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบเป็นอิ่ม โดยไม่ต้องคิดถึงวันที่เราจะกลับไปทำงาน เพราะหมดเวลาเที่ยวแล้ว ทำให้รู้สึกว่าชีวิตเรามันเต็มที่จริงๆ ไม่ได้หมดเวลาไปกับอะไรที่ไม่อยากทำ  และที่สำคัญงานที่ทำก็เป็นงานที่เรารักมันจึงทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อหน่าย ถึงแม้ว่าบางครั้งจะต้องเผชิญกับอุปสรรค

จนมาถึงวันนี้ได้ไปอยู่ — หรือบางทีก็แค่แวะไปหลายๆวัน — ในกว่า 13 ประเทศแล้วค่ะ มาดูรูปกันบ้าง

โดยอย่างที่บอก เราเริ่มจาก 2 เดือนในกรุงเทพค่ะ ไม่ได้หวือหวาอะไรมากอย่างที่บอกตอนแรกต้องประหยัดค่ะ แต่ก็มีไปแรดตามสกายบาร์บ้าง ค็อกเทลเป็นเสมือนน้ำมันหล่อลื่นสมอง (หรา !)
แวะไปปีนังเพื่อต่อวีซ่าไทยหน่อย ไม่เคยทำบัตรประชาชนไทยค่ะถึงแม้จะมีสัญชาติ (ที่อำเภอไม่ทำให้ค่ะ) ไปปีนังนี่ กินจนจุกเลยค่ะ ทั้งอาหารอินเดีย อาหารจีน อาหารมาเล อร่อยหมดเลย

หลังจากเมืองไทยตัดสินใจว่าทน อากาศร้อนไม่ได้ ก็เลยไปบาหลีค่ะ  ที่นี้ก็แวะเที่ยวสิงคโปร์สิ รออะไร สิงคโปร์นี่เราไปมา 5-6 ครั้งเลยค่ะ  ชอบมาก เพราะการสร้าง network ง่ายมาก ผู้คน มีความใจกว้าง และเป็น entrepreneur มากค่ะ และแน่นอนอาหารทุกอย่างสุดยอด

ที่บาหลีนี่ เราอยู่ Canngu ค่ะเป็นที่ที่ชาวต่างชาติแบบ Expat และ “นักพเนจร” อยู่เยอะมาก เพราะชีวิตสบาย ฮิปสเตอร์ดี มีร้านกาแฟจุกจิกน่ารักเยอะ
ตอนอยู่ที่นั่นแน่นอนว่าพวกเราเช่ามอเตอร์ไซค์ค่ะ ไม่มีรถเมล์ และแท็กซี่ก็โกงชาวต่างชาติพอๆกับตอนอยู่เมืองไทยนั่นแหละค่ะ บาหลีสบายมากจนเราอยู่ที่นั่นเกือบ 6 เดือน พ่อแม่ของ P ก็ตามมาเที่ยวกับเราด้วยค่ะ (หลังจากใช้ชีวิตหกสิบกว่าปีโดยเที่ยวในฝรั่งเศสอย่างเดียว เพราะกลัวสื่อสารกับต่างชาติไม่รู้เรื่องค่ะ สรุปก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ 55 แต่แทนที่จะน่ากลัว มันกลับสนุก ^^)

เสร็จจากบาหลี ด้วยความที่อยู่ในเอเชียมานานมากแล้ว (แค่ 8 เดือนเองมั้ง จริงๆแล้ว) P เริ่มโหยหาอาหารฝรั่งแบบจริงจัง พวกเราจึงบินไปใช้ชีวิตอยู่ที่ Prague ประมาณ 4 เดือน Prague ไปเมืองที่ถูกนะคะด้วยความที่ไม่ได้ใช้เงินยูโร และเป็นเมืองเราชอบที่สุดในยุโรป มากกว่าปารีส ดูเอาว่าทำไม

ต่อจาก Prague ไปเวียดนามค่ะ ไปอยู่ที่ฮานอย ซึ่งมีความ แปลกใหม่มาก มอเตอร์ไซค์เยอะสุดๆ ถ้าคิดจะข้ามถนนอย่าคิดว่าจะมีใครหยุดให้ข้ามนะ
เวียดนามดูเผินเผิน อาจจะไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมีโอกาสที่จะไปคลุกคลีกับเขา พวกเขาก็เป็นคนที่น่ารักดีค่ะ เราได้รู้จักกับครอบครัวครอบครัวหนึ่งๆ  ซึ่งลูกสาวและลูกชายทำงานให้กับพวกเราบ้างเป็นบางครั้ง พวกเขาน่ารักใจดีมากค่ะ ตอนนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่


หลังจากเวียดนามซึ่งอากาศร้อนตับจะแตก จนทนไม่ไหวพวกเราจึงตัดสินใจ จะไปบาหลีอีกครั้ง ซึ่งอากาศสบายกว่าเยอะ กลับไปที่ Canngu อีกครั้งค่ะ ซึ่งครั้งนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมากจนน่ากลัว บาหลีเป็นที่ที่ชาวต่างชาติมาลงทุนเยอะมาก ซึ่งกับความเจริญที่ไม่ทั่วถึง ก็มาพร้อมกับมิจฉาชีพ ที่เพิ่มขึ้น

ครั้งนี้ ได้ลองจัดมิตติ้งเองบ้างค่ะ ไปของคนอื่นมามากแล้ว ชื่อ Nomad’s Dinner เพื่อที่จะได้พบปะ กันกับนักพเนจร คนอื่นๆ โดยนำเสนออาหารไทยค่ะเพื่อเป็นการเรียกแขก ! เป็นการ network ไปในตัว ที่บาหลีนี่ชีวิตแอ็คทีฟมาก ถ้าอยากชิมลางการเป็น Digital Nomad แนะนำให้เริ่มจากบาหลีหรือเชียงใหม่เลยค่ะ digital nomads เยอะโพดๆ 

หลังจากบาหลีพวกเราขอก้าวสู่ความเจริญและความเป็นระเบียบบ้างโดยการไปไต้หวันค่ะ โดยก่อนไป ได้แวะไปกัวลาลัมเปอร์ 2 วัน

ที่ไต้หวัน ไปอยู่ที่ เกาสฺยง (Kaohsiung) เมืองเล็กๆน่ารักสะอาดและเจริญ ที่นี่อากาศดีกว่าไทเป เราชอบมากๆ เจ้าของบ้านที่เช่าอยู่ เป็นดีไซเนอร์เกย์  ที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนร้ายเพื่อนรักกันค่ะ นางหวังจะเคลม P อยู่  (555 ขำๆนะ สนิดกันจริงๆ)

https://www.facebook.com/PaddlinGal/