ผู้นำหลายประเทศ ไม่เห็นเด้วย หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอย่างเป็นทางการรับรองเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล
.
เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ประธานาธิบดีทรัมป์ ของสหรัฐฯ เปิดแถลงการณ์อย่างเป็นทางการลงนามรับรองให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล พร้อมสั่งการรัฐบาลสหรัฐฯ ให้เริ่มวางแผนงานในการโยกย้ายสถานฑูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟไปยังกรุงเยรูซาเล็ม
“ผมตัดสินใจแล้วว่า มันถึงเวลาแล้วที่จะยอมรับอย่างเป็นทางการว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล” ทรัมป์กล่าวในงานแถลงการณ์ที่ทำเนียบขาว
ทรัมป์ไม่สนใจกระแสต่อต้านจากผู้นำนานาประเทศ ซึ่งต่างให้ความเห็นตรงกันว่าการกระทำของทรัมป์จะทำให้ก่อความไม่สงบมากขึ้นในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้เขายังกล่าวว่าเขาตั้งใจที่จะ “ทำทุกๆ หนทาง” จากอำนาจที่เขามีในฐานะประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพื่อผลักดันขบวนการสันติภาพระหว่างชาวอิสราเอลและชาวปาเลสไตน์
ซาเอ็บ เอเรกัต หัวหน้าคณะเจรจาของปาเลสไตน์ ตอบโต้ทันทีว่า ทรัมป์ได้ทำลายขบวนการเจรจาสันติภาพอย่างหมดสิ้น และผลักดันให้ภูมิภาคไปสู่ความวุ่นวายและความรุนแรง นายเอเรกัตกล่าวต่อไปว่า สหรัฐฯ หมดสิทธิ์ในการเป็นประเทศที่มีบทบาทในการเป็นตัวกลางเจรจาเพื่อสันติภาพระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอล
“ทรัมป์จะพูดถึงสันติภาพได้อย่างไร ในเมื่อเขาสั่งการอนาคตของกรุงเยรูซาเล็มก่อนที่การเจรจาจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งมันเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศชัดๆ ?” “มันไม่มีความหมายใดๆ กับชาวปาเลสไตน์ที่มีรัฐปาเลสไตน์โดยปราศจากกรุงเยรูซาเล็ม” นายเอเรกัต กล่าว
ประธานาธิบดีเรเจป ทายยิป แอร์โดอัน ออกมาประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่า ตุรกีจะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอล หากทางสหรัฐฯ ให้การรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงอิสราเอล เพราะการกระทำดังกล่าวเป็น “การล้ำเส้น” สำหรับชาวมุสลิม และจะต่อต้านให้ถึงที่สุด
ทางด้านประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง แห่งฝรั่งเศส ทักท้วงทรัมป์ว่า สถานะของเยรูซาเล็มจะต้องเป็นการตัดสินภายใต้กรอบการเจรจาระหว่างชาวปาเลสไตน์กับอิสราเอลเท่านั้น
ขณะเดียวกัน มีทั้งชาวปาเลสไตน์ทั้งในฉนวนกาซ่า เวสแบงก์ เบธเลเฮม รวมทั้งในประเทศตุรกี เลบานอน จอร์แดน และเยอรมัน รวมตัวกันประท้วงต่อต้านคำประกาศทรัมป์ที่ออกมารับรองอย่างเป็นทางการให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล
ขณะเดียวนายกรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษเทเรซ่า เมย์ และะนางเมเคิล นายกรัฐมนตรีของเยอรมนี ได้ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยต่อท่าทีของโดนัลด์ ทรัมป์