เมื่อพิจารณาจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์ จะเห็นว่ากลุ่มสุดโต่งขาดหลัก “ไตรสิขา” ขาดปัญญา…การที่นำเรื่องอิสลามจะครองประเทศไทย โดยมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง มุ่งโจมตีการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม จนสมาธิเสีย
ความอ่อนไหวที่เปราะบาง…
สมเดช มัสแหละ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ค ระบุว่า ความอ่อนไหวที่เปราะบาง…จากการที่มีกลุ่มแนวคิดสุดโต่ง ซึ่งก็ไม่มั่นใจว่าเป็นกลุ่มชาวพุทธจริงหรือไม่ เพราะหากพิจารณาจากหลักคำสอนของศาสนาพุทธโดยเนื้อแท้แล้ว พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้พุทธบริษัททั้งหลายยึดแนว “มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง พระพุทธเจ้าทรงกำหนดหลักทางสายกลางนี้ไว้ชัดเจน คือ อริยมรรคมีองค์ 8 เมื่อย่นย่อแล้ว เรียก “ไตรสิกขา” ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อพิจารณาจากหลักคำสอนของพระพุทธองค์ จะเห็นว่ากลุ่มสุดโต่งขาดหลัก “ไตรสิขา” ขาดปัญญา…
การที่นำเรื่องอิสลามจะครองประเทศไทย โดยมีวาระซ่อนเร้นทางการเมือง มุ่งโจมตีการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม จนสมาธิเสีย
การที่อิสลามจะครองที่ใดได้นั้นหมายความว่า ความเชื่อของคนท้องที่นั้นหย่อนยาน ศาสนิก ขาดการศึกษาเรียนรู้ในหลักคำสอนของศาสนาตนเอง หรือคนในศาสนานั้นยึดแค่เปลือกนอกของคำสอน ไม่ลึกซึ้งในศาสนาของตัวเอง
ในประเทศตะวันออกกลางเอง บางประเทศก็พอมองเห็นสิ่งที่ว่ามานี้ แม้จะเป็นประเทศมุสลิมก็ตาม แต่ความเข้มข้นในศาสนาจาง จึงคล้อยตามแนวคิดอื่นๆ แม้ว่าเราจะไม่เห็นเมืองอิสลาม กลายเป็นเมืองพุทธ แต่เมืองอิสลาม ก็กลายเป็นอย่างอื่น เช่น มีวิถีบริโภคนิยม ไม่ใส่ใจในหลักการของศาสนาเอง
ที่เราเห็นเมืองพุทธกลายเป็นความเชื่ออื่นนั้นน่าจะมีสาเหตุหลักสองประการ คือ ๑.ด้วยระยะเวลาที่ยาวนาน ๒.พุทธศาสนิกชนไม่สนใจเรียนรู้หลักของศานา คงไว้เพียง ไว้พระ ไปวัดในบางโอกาส ไม่สนใจฟังเทศน์ ฟังธรรม เหลือเพียงแค่พิธีกรรม
สมัยก่อนสังคมชาวพุทธใช้วัดเป็นทุกเรื่อง เช่น การศึกษาหาความรู้ เด็กๆจะต้องไปเรียนรู้พุทธเบื้องตนจากวัด เหมือนอย่างสังคมมุสลิมที่ต้องเรียนศาสนาภาคบังคับ ที่เรียกว่า “ฟัรดูอีน” จึงต้องถามฝ่ายที่สุดโต่งว่า ในสังคมคุณเข้มในเรื่องการศึกษาศาสนาพุทธภาคบังคับหรือไม่…
ในอิสลามมีภาคบังคับ ที่เด็กๆมุสลิมจำเป็นต้อง ซึ่งภาระหน้าที่นี้อิสลามกำหนดให้พ่อแม่ต้องรับผิดชอบ…
ผมไม่เชื่อว่าอิสลามจะครองประเทศไทยได้ หากชาวพุทธเข้มข้นในหลักศาสนา ในทุกระดับ วันนี้สังคมไทย ยังกินเหล้าเมายา มากกว่า โดยไม่สนใจ หรือเกรงใจคุณพระ คุณเจ้า แม้แต่งานบุญก็ยังมีให้เห็นเสมอๆ
ทุกศาสนาหากจะล้ม ไม่มีใครสามารถจะล้มได้ นอกมันเกิดจากภายในกันเอง ที่เรียกว่า “สนิมเนื้อใน” แม้แต่ในอิสลามเอง หากมีการถกเถียง ทะเลาะ แบบไม่มีใครยอมถอยมาคุยกัน สังคมมุสลิมก็ระสำระสายได้เช่นกัน
การเกิดมัสยิด ที่บอกว่าเกือบทุกจังหวัด จริงๆแล้ว ไม่ใช่เพิ่งเกิด เมื่อมีชุมชนมุสลิม ก็ต้องมีมัสยิด เพราะหลักการศาสนาหลายอย่างมีข้อพูกพันกับมัสยิด และส่วนมากมัสยิดก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของมุสลิมเอง จะมีบ้างที่เป็นงบประมาณ ซึ่งก็ถือว่าส่วนน้อยมาก เรื่องนี้ยังเป็นข้อถกเถียงด้วยซ้ำไปว่า เอาเงินจากรัฐมาสร้างได้หรือไม่ เพราะมัสยิดเปรียบเสมือนบ้านของพระเจ้า การสร้างจึงต้องมาจากมุสลิมเอง
คนที่ปั่นข่าวว่ารัฐสร้างมัสยิดนั้นน่าจะอยู่ในถ้ำมานาน หรืออย่างเรื่องกฎหมายอิสลามก็เหมือนกัน เอากันจริงๆ มุสลิมยังคิดเลยว่ารัฐต้องการคุมมุสลิมหรือไม่ จึงต้องให้จดทะเบียนมัสยิด โรงเรียนศาสนา หรือปอเนาะ ว่ากันแบบไม่เกรงใจ ไม่มีกฎหมายอิสลาม มาควบคุมมุสลิมน่าจะเฮมากกว่า
พวกที่สุดโต่งคงไม่เข้าใจว่าคำว่า พ.ร.บ.อิสลาม มันคือกฎหมายของประเทศไทยที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ไม่ใช่กฎหมายของศาสนา
แม้ไม่มี พรบ.อิสลาม มุสลิมก็มีวิถีแบบอิสลาม ตามความเชื่ออยู่แล้ว เช่น การแบ่งมรดก มุสลิมก็แบ่งตามหลักศาสนาอยู่แล้ว หรือหากไม่มีธนาคารอิสลาม มุสลิมก็ห้ามกินดอกเบี้ย การมีธนาคารอิสลาม นั้นคือการมีธนาคารที่ไม่มีดอกเบี้ยนั้นเอง
จะเล่นการเมืองก็เล่นไป อย่าศาสนา ความเชื่อมาเกี่ยวด้วย หรือแม้แต่เหตุการณ์ชายแดนใต้ ก็ไม่ต้องโยงศาสนา จะแบ่งแยก หรือไม่แบ่งแยก ก็ไม่เกี่ยวกับศาสนา
ศาสนาทุกศาสนาไม่มีพรมแดน ในแต่ละพื้นที่มีคนทุกศาสนาอยู่ปะปนกันทั้งนั้น ไม่ว่าประเทศใด…
ปัญหามันอยู่ที่ว่า คนที่นับถือศาสนา ได้เป็นแบบอย่างที่งดงาม ตามหลักคำสอนของศาสนาของตนเองหรือยัง คนในศาสนิกเชียวระรานกันหรือไม่
หากจะมองโดยใจที่เป็นกลาง ไม่มีศาสนาไหนที่สอนให้คนในศาสนิกไปละเมิดต่อความเชื่อซึ่งกันและกัน กลุ่มสุดโต่งที่อ้างศาสนาพุทธ หากยังละเมิดคนในความเชื่ออื่น ก็แสดงว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เข้าสู่ส่วนลึกของปัญญา ขาดหลัก”ไตรสิกขา” ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา
มุสลิมก็เช่นกัน หากความคิดยังละเมิดต่อความเชื่ออื่น เขาก็ไม่เข้าใจคำสั่งห้าม ของพระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสไว้ในอัล-กุรอ่าน ขาดการนำแบบฉบับของท่านศาสดามาใช้ ที่ท่านถูกส่งมาเพื่อความเมตตาต่อมนุษย์ทั้งหลาย “เราะฮ์มาตันลิลอาละมีน”
จะทำอะไรก็เกรงใจสมเด็จพระสังฆราชฯด้วย เพราะพระองค์ตรัสได้อย่างประทับใจว่า “เราเสมือนครอบครัวเดียวกัน”