เหตุการณ์ สลายการชุมนุม ณ. สี่แยกราชประสงค์ เมื่อ 10 เม.ย.2553 ผ่านมาแล้ว 10 ปี แต่ภาพ การบาดเจ็บ ล้มตาย ยังคง ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ ของผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ผู้สูญเสีย”
สี่แยกราชประสงค์ ใจกลางมหานคร กลายเป็นสี่แยก(แห่งความตาย) ในความรู้สึก หลายๆคน
และในโอกาส ครบรอบ 10ปี “10 เม.ย.53” ลองใช้ช่วงเวลาสั้นๆ ถอยหลังกลับไปดู เหตุการณ์อันเป็น ประวัติศาสตร์ ทางการเมืองไทยกันอีกครั้ง
วันนั้น หลังจาก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนีั้น ตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุม ภายใต้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” จากผู้ชุมนุม ซึ่ง ปักหลัก ที่สะพานผ่านฟ้าฯ ยาวถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนดินสอ แยกคอกวัว
ซึ่งเป้าหมายของกลุ่ม กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ “คนเสื้อแดง” ที่ มารวมตัวกันนั้นเพื่อเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา
นปช. ได้ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ และ แยกราชประสงค์ ก่อนมีการปะทะ กับ เจ้าหน้าที่ทหาร บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงช่วงค่ำวันที่ 10 เมษาฯ เพื่อให้ประชาชนใช้สัญจรไปมา แต่ผู้ชุมนุมไม่ยอม ได้ต่อต้านและตอบโต้ทหารด้วยอาวุธนานาชนิด ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่ายกว่า 800 ราย และเสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 20 ราย
สถานการณ์ช่วงแรก ก่อนจะเคลื่อนมาถึงจุดนองเลือดนั้น ‘นายอภิสิทธิ์’ ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) พยายามใช้กฎหมายเพื่อบังคับให้แกนนำ นปช.ย้ายการชุมนุมออกจากแยกราชประสงค์ เนื่องจากการชุมนุมสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนและภาคธุรกิจจำนวนมาก
นายอภิสิทธิ์ ได้ให้ผู้แทน ไปดำเนินการฟ้องต่อศาลแพ่ง แต่ ศาลได้ยกคำร้อง!
โดยให้เหตุผลว่าข้อกำหนด และ ประกาศของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ ที่ให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ มีผลบังคับใช้แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมาร้องขอให้ศาลสั่งบังคับตามข้อกำหนดอีกแต่อย่างใด
กรณีนี้ ทำให้ แกนนำ นปช.ได้นำคำสั่งดังกล่าวไป กระตุ้น ปลุกเรา ให้ มวลชน ฮีกเหิม ว่า ศาลยกคำร้องของนายกฯ และเท่ากับอนุญาตให้ชุมนุมได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนถึงวันที่ 10 เม.ย. 53 ได้มี สถานการณ์ ที่ปลุกเร้า มาอย่างต่อเนื่อง
7 เม.ย.53 มีการประชุม ครม.ที่รัฐสภา ปรากฏว่า กลุ่มเสื้อแดง นำโดย นายนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ , นายพายัพ ปั้นเกตุ และ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ได้เคลื่อนพลไปปิดล้อมรัฐสภา ทั้งที่แกนนำเสื้อแดง เคยประกาศ ว่าจะไม่ไปปิดล้อมรัฐสภาเหมือนที่กลุ่มพันธมิตรฯทำมาก่อน
แต่ปรากฏว่ากลุ่มเสื้อแดง ทำยิ่งกว่าพันธมิตรฯ โดยบุกเข้าไปภายในรัฐสภาจากนั้น นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ได้นำ นปช. 5 คน ซึ่งแต่ละคนมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง ไปควานหาตัว นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง โชคดีนายสุเทพ ออกจากรัฐสภาไปก่อน
ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้เดินทางออกจากรัฐสภา ไปประชุม ศอ.รส.ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) โดย นายอภิสิทธิ์ ออกจาก อาคารรัฐสภาไปไม่นาน กลุ่มเสื้อแดง ก็ยกพลมาถึง สภาฯ พลาดการเผชิญหน้ากันอย่างฉิวเฉียด!
หลังจากนั้น นายอภิสิทธิ์ ได้ประชุม ครม.นัดพิเศษ(7 เม.ย.) ที่ ศอ.รศ. ก่อนประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง โดยครอบคลุมเขตพื้นที่ กทม., นนทบุรี และบางอำเภอของจังหวัดในเขตปริมณฑล ประกอบด้วยสมุทรปราการ, ปทุมธานี, นครปฐม และพระนครศรีอยุธยา
หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รัฐบาลได้ประสานบริษัท ไทยคม ให้ตัดสัญญาณสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชนแนลของกลุ่มเสื้อแดง เนื่องจากแกนนำปราศรัยปลุกระดมมวลชนด้วยการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและขัดต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
วันที่ 9 เม.ย. ด้านกลุ่มเสื้อแดงไม่พอใจที่พีเพิลแชนแนลถูกตัดสัญญาณ จึงเคลื่อนมวลชนด้วยรถบรรทุก รถยนต์ และรถจักรยานยนต์ไปยังสถานีไทยคม ที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี จนเกิดการประจันหน้ากับทหารที่รักษาการณ์อยู่ที่สถานีไทยคม
แม้ทหารจะสกัดผู้ชุมนุมด้วยการฉีดน้ำ และยิงแก๊สน้ำตา แต่ก็ไม่สามารถสกัดกลุ่มเสื้อแดงได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก จากนั้นแกนนำเสื้อแดงได้นำรถโอบี มาอัพลิงก์สัญญาณภาพและเสียงเพื่อยิงขึ้นสู่ดาวเทียมไทยคมอีกครั้ง
ทั้งนี้ ผลจากการปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มเสื้อแดงที่บุกยึดสถานีไทยคม ทำให้มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อยทั้งสองฝ่ายจำนวน 23 ราย
มาถึงวัน สำคัญ 10 เม.ย.53 ที่จบด้วยการนองเลือด กลุ่มเสื้อแดงนำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา นำผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไปยังกองทัพภาคที่ 1 อ้างว่า มีข่าวว่าทหารจะปฏิบัติการสลายการชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง
มื่อไปถึง เกิดการปะทะกัน โดยทหารได้ฉีดน้ำเข้าใส่ผู้ชุมนุม ก่อนใช้แก๊สน้ำตา และ กระสุนยาง ตามหลักปฏิบัติ จากเบาไปหาหนัก ทำให้ผู้ชุมนุมถอยร่นออกมา
จากนั้นทหารได้เดินแถวเรียงหน้ากระดาน เพื่อยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มเสื้อแดง ไล่ตั้งแต่บริเวณแยกมิสกวัน ไปถึงบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำให้เกิดการปะทะกันเป็นระยะๆ แม้จะมีผู้บาดเจ็บบ้างแต่ก็ไม่หนักหนาสาหัส
แต่เหตุการณ์เริ่มตึงเครียด และปะทะกันอย่างหนักในช่วงค่ำ โดยเจ้าหน้าที่ทหาร “ขอคืนพื้นที่” โดยใช้ โล่ กระบอง แก๊สน้ำตา และกระสุนยาง ขณะที่ผู้ชุมนุม มีอาวุธนานาชนิด เริ่มจากก้อนหิน ไม้ ไปจนถึงอาวุธสงคราม ที่มีการซุ่มยิงใส่กลุ่มทหารจนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
รวมทั้งการนำถังแก๊สอัดดินระเบิด แล้วจุดไฟกลิ้งเข้าใส่ทหาร โดยจุดปะทะหลักๆ อยู่บริเวณแยกคอกวัว ผลจากการปะทะทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย 863 ราย (ยอด ณ วันที่ 12 เมษาฯ) ขณะที่ ผู้เสียชีวิตมี 21 ราย (เป็นพลเรือน 16 คน ทหาร 5 คน) สาเหตุของการเสียชีวิตส่วนใหญ่ถูกกระสุนปืน ระเบิด และถูกของแข็งกระแทก
ทั้งนี้ ในบรรดาผู้เสียชีวิต มีทหารระดับนายพันเสียชีวิตด้วย คือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ โดยถูกยิงด้วยระเบิดเอ็ม 79 ที่ ศีรษะ
นอกจากนี้ยังมีนักข่าวชาวญี่ปุ่นของสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ติดตามทำข่าวเสียชีวิตจากการถูกยิง คือ นายฮิโรยูกิ มารูโมโตะ ไม่เท่านั้น ยังมีทหารชั้นสัญญาบัตรที่บาดเจ็บสาหัส
เช่น พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ บาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิดเอ็ม 79 ทำให้ขาหัก 3 ท่อน
พ.อ.เกรียงศักดิ์ นันทโพธิเดช ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ ถูกสะเก็ดระเบิดที่สมอง
และ พ.ท.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ ผู้บังคับกองพันทหารม้าที่ 3 รักษาพระองค์ โดนสะเก็ดระเบิดที่ขาทั้งสองข้าง
จากนั้น คืนวันเดียวกัน (10 เมษาฯ) พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้แถลงหลังพบว่าการปะทะกันระหว่างทหารและผู้ชุมนุมทำให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก โดยระบุว่า มีผู้ชุมนุมบางส่วนยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ทหาร รวมทั้งมีการใช้ระเบิดเอ็ม 67 และระเบิดแสวงเครื่องด้วย จนมีผู้มีบาดเจ็บจำนวนมาก
ดังนั้น ศอฉ.จึงมีมติมอบหมายให้เลขาธิการนายกฯ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประสานกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อหยุดการปฏิบัติการของทั้ง 2 ฝ่าย
หลังสถานการณ์คลี่คลาย แกนนำ นปช.ยืนยันว่า จะไม่เจรจากับรัฐบาล พร้อมเปลี่ยนข้อเรียกร้องจากการยุบสภาภายใน 15 วัน เป็นการยุบสภาทันที และให้นายอภิสิทธิ์ เดินทางออกนอกประเทศ โดยปลุกระดมผู้ชุมนุมว่าทหารใช้อาวุธสงครามทำร้ายประชาชน
พร้อมกันนี้ยังมีการนำมวลชนบุกไปชิงศพที่โรงพยาบาลหัวเฉียว โดยอ้างว่ามีเสื้อแดงเสียชีวิต 2 ศพ ก่อนนำศพมายังเวทีคนเสื้อแดงเพื่อปลุกอารมณ์ผู้ชุมนุมให้โกรธแค้นทหารและรัฐบาล
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.ประกาศจะนำศพคนเสื้อแดงที่เสียชีวิต 14 ศพใส่โลงสีแดงแห่ศพไปรอบกรุงเทพฯ ในวันที่ 12 เมษาฯ ก่อนทำพิธีสวดศพที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เป็นที่น่าสังเกตว่า สื่อมวลชนหลายสำนัก เช่น สำนักข่าวรอยเตอร์ โมเดิร์นไนน์ทีวี สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ ขณะทหารปฏิบัติการขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมจนเกิดการปะทะกัน โดยพบว่ามีชายสวมชุดดำไม่ต่ำกว่า 2 คน บางคนเหน็บผ้าแดง ที่ เอวร่วมอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม
โดยชายดังกล่าวได้ใช้อาวุธสงคราม เช่น ปืนอาก้า ยิงเข้าใส่ทหาร ซึ่งปืนอาก้าเป็นปืนที่ไม่มีใช้ในกองทัพ ส่งผลให้ทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ได้ออกมายอมรับว่า มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายช่วยคนเสื้อแดงยิงตอบโต้ฝ่ายทหารจริง
เสธ.แดง ยังขู่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า “วันนี้นายอภิสิทธิ์ไปไหนไม่ได้ ต้องยุบสภา เหตุการณ์ถึงจะสงบลง วันนี้คนเสื้อแดงยึดปืนได้หมด หากทหารจะเข้ามาสลายการชุมนุมอีกครั้ง จะมีคนตายมากกว่าเก่าเป็นร้อยเท่า เพราะเขามีปืนกล มีปืนต่อสู้อากาศยานที่สามารถยิงเฮลิคอปเตอร์ได้”
‘นายอภิสิทธิ์’ แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ว่า ขณะนี้ประชาชนได้เห็นเหตุการณ์แล้วว่า มีผู้ก่อการร้ายที่อาศัยผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง ก่อความไม่สงบ เพื่อหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ดังนั้น รัฐจะมีมาตรการแยกผู้ก่อการร้ายออกจากผู้บริสุทธิ์ พร้อมขอให้ผู้บริสุทธิ์อย่าเข้าร่วม
เมื่อแยกผู้ก่อการร้ายได้แล้ว จะกำหนดมาตรการในการดำเนินการที่เหมาะสมต่อไป นายอภิสิทธิ์ยังย้ำด้วยว่า ระหว่างดำเนินการต่อผู้ก่อการร้ายนี้ รัฐบาลจะพิจารณาปัญหาข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่เคยเสนอไว้ในการเจรจากับแกนนำกลุ่มเสื้อแดงแบบคู่ขนานไปด้วย
ส่วนเหตุการณ์ที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รัฐได้ตั้งคณะกรรมการประมวลเหตุการณ์ และพร้อมให้ความร่วมมือในการตรวจสอบชี้แจงกับองค์กรอิสระต่างๆ รวมทั้งช่วยเหลือเยียวยาแก่ทุกฝ่าย โดยรัฐบาลจะเดินหน้าสะสางสถานการณ์โดยเร็ว
เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ทหารขอคืนพื้นที่บริเวณผ่านฟ้าลีลาศเมื่อวันที่ 10 เมษาฯ ผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงกลับต่อต้าน ไม่ยอมคืนพื้นที่ จนเกิดการปะทะกัน แต่จู่ๆ ให้หลังแค่ 4 วัน แกนนำ นปช.กลับยอมทิ้งพื้นที่ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ แล้วย้ายไปสมทบชุมนุมที่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว โดยอ้างว่าเพื่อให้การชุมนุมมีเอกภาพและง่ายต่อการรักษาความปลอดภัย
จนเกิดการ “ขอพื้นที่ ” เป็นที่มาของ การสูญเสีย จำนวนมาก
จากวันนั้น มาจนถึงวันนี้ แม้เหตุการณ์ 10 เมษาฯ 2553 จะผ่านวันเปลื่ยนเดือน หมุนไปตามวันเวลที่เปลี่ยนแปลงไปผ แต่ ถนนราชดำเนิน แยกผ่านฟ้า ไล่มาจนถึง สี่แยกราชประสงค์ ยังคงดำรงอยู่ เพื่อเป็น สัญญลักษณ์ เตือนใจ อนุชนรุ่นหลัง ได้ตระหนัก
ถึงบทเรียนที่เจ็บปวด ของ ประวัติศาสตร์การเมืองไทย!
#10เม.ย.53 #สี่แยกราชประสงค์ #นปช. #พ.อ.ร่มเกล้า #อภิสิทธิ์ วชชาชีวะ #ขอคืนพื้นที่