‘มหานาค’มัสยิดที่รวยที่สุด นับพันล้าน มอบโฉนดวากั๊พตั้งแต่บางลำภูยันหนองจอก

พิธีมอบโฉนดที่ดินมัสยิดมหานาคคึกคัก มีผู้ใหญ่ทั้งในวงราชการและแวดวงมุสลิมเข้าร่วมคึกคัก เป็นต้นแบบการโอนโฉนดที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยตามกฎหมายแพ่ง

วันที่ 15 กรกฎาคม เมื่อวันพุธที่ 15 กรกฎาคม 2563 ที่มัสยิดมหานาค แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ ได้มีพิธีมอบและรับมอบโฉนดที่ดินที่มีการวากั๊พ(บริจาค)ให้มัสยิด โดยมีนายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน ผู้แทนอธิบดีกรมที่ดิน เป็นประธานการมอบ

นายศักดิ์ชัย บุญมา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ผู้แทนผู้ว่าฯ กทม. นายอารีย์ วงศ์อารายะ อดีตรมว.มหาดไทย ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะทำงานประสานงานแก้ปัญหาที่ดินมัสยิดและสุสาน พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อดีตรองนายกฯและผบ.ทบ. ที่ปรึกษาคณะทำงานประสานงานแก้ปัญหาที่ดินมัสยิดและสุสาน อาจารย์ประสาน(ชารีฟ) ศรีเจริญ รองประธานผู้ทรงคุณวุฒิสำนักจุฬาราชมนตรี และอาจารย์อรุณ บุญชม ประธานกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร ร่วมเป็นสักขีพยาน

นายวิโรจน์ (ซิดดิ๊ก) รัมภักดิ์ อิหม่ามประจำมัสยิดมหานาค กล่าวว่า มัสยิดมหานาค ก่อตั้งตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ประมาณ ปี 2350 โดยพระเทพหมึก บิดาขุนรัตนาภิบาล หรือคุณเสงี่ยม อ่ำรัตน์ ได้รวบรวมพี่น้องมุสลิมท้องถิ่นระดมทุนร่วมกันก่อสร้างมัสยิด ต่อมาฮัจยีกอเซ็ม บิดานายฮัจยีดอรอมาน กาเซ็ม บริหารเรื่อยมา จนเมื่อมีกฎหมายบริหารมัสยิด จึงได้ขอจดทะเบียนกับศาลาว่าการจังหวัดพระนคร(กรุงเทพมหานคร) เมื่อพ.ศ.2490 ทะเบียนเลขที่ 55 วันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2492

‘ได้มีพี่น้องประชาชนมีจิตศรัทธา เชื่อมั่นมัสยิดมหานาค จึงได้บริจาคที่ดินให้กับมัสยิดจำนวนมาก และจากการตรวจสอบพบว่า ที่ดินที่เป็นสุสาน 2 โฉนดจำนวน 9 ไร่ ชื่อของฮัจยีดอรอมาน และฮัจยีการีม เป็นตรัสตีป่าช้าแขก หรือผู้ถือแทน และยังไม่มีโฉนดเป็นกรรมสิทธิ์ของมัสยิด จึงดำเนินการโอนที่ดินเป็นของมัสยิดจนแล้วเสร็จ ได้รับความร่วมมือช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง’

นอกจากนี้ ยังมีที่ดินวากั๊กของมัสยิดอีกหลายแปลงในพื้นที่มีนบุรีหนองจอก ที่ยังไม่มีการโอนให้เป็นของมัสยิด ซึ่งจะมีการดำเนินการต่อไป

นายชัยยศ เหลืองภัทรเชวง รองอธิบดีกรมที่ดิน กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นประธานในพิธี มอบโฉนดและรับมอบโฉนดที่ดินให้กับมัสยิดมหานาคในวันนี้ ถือว่าเป็นผลแห่งความสำเร็จที่น่าสรรเสริญเป็นอย่างมากและเป็นที่น่าภาคภูมิใจของสัปบุรุษของมัสยิดแห่งนี้

‘ขอแสดงความชื่นชมกับคณะทำงานในโครงการนี้ทุกท่าน ที่ได้ร่วมมือกันจัดทำโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านอารีย์ วงศ์อารยะ อดีตอธิบดีกรมที่ดิน, อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทยและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย , ท่านพลเอกสนธิ บุญรัตกลิน อดีตผู้บัญชาทหารบกและอดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่เคารพ ซึ่งท่านทั้งสองแม้ว่าได้เกษียณอายุราชการไปนานแล้ว แต่ท่านก็ยังเป็นห่วงสังคมด้วยดีตลอดมา
กรมที่ดินถือเป็นหน้าที่ ที่ต้องอำนวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรศาสนา ทุกศาสนา’ นายชัยยศ กล่าว

นายชัยยศ กล่าวว่า การออกโฉนดครั้งนี้ เป็นความร่วมมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้ง สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร กรมธนารักษ์, สำนักงานการโยธากรุงเทพมหานคร, สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ซึ่งทั้งหมด ได้อำนวยความสะดวกในการออกโฉนดที่ดินให้กับมัสยิดมหานาคในครั้งนี้ จนเป็นผลสำเร็จ และครั้งนี้สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร ได้ตัดสินใจ ดำเนินการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ มาตรการ 797, 798 เรื่องตัวการตัวแทน ในการจดทะเบียนในครั้งนี้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับมัสยิดเป็นอย่างมาก และยังเป็นกรณีศึกษา (Cast Study) ให้กับมัสยิดอื่นทั่วประเทศไทยได้อีกด้วย

ขณะที่นายศักดิ์ชัย บุญมา รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า ตนเองมีส่วนร่วมเพียงเพียงเล็กน้อยในการออกโฉนดครั้งนี้ ในฐานะรองผู้ว่าฯกทม. ที่ต้องลงนาม ต้องขอบคุณผู้ที่เกี่ยวข้องที่ช่วยผลักดันให้มีการโอนที่ดินให้มัสยิด โดยเฉพาะนายพีรพจน์ เมธาพงศ์บริบูรณ์ ประธานคณะทำงานประสานงานแก้ปัญหาที่ดินมัสยิดและสุสาน ที่เป็นบุคคลสำคัญในการดำเนินงาน จนสามารถออกโฉนดได้ ต้องขอบคุณทุกๆคนที่ให้ความร่วมมือ ทั้งพี่น้องต่างศาสนิกและมุสลิม

ขณะที่นายอารีย์ วงศ์อารยะ กล่าวว่า การออกโฉนดที่ดินให้มัสยิดมหานครครั้งนี้ เป็นต้นแบบของการออกโฉนดที่ดินให้กับมัสยิด ที่ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โดยการใช้กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทำให้มัสยิดไม่ต้องเงินเป็นจำนวน 17 ล้านบาท ทั้ง 2 แปลงมีการโอนจาก จากตรัสตีป่าช้าแขก ซึ่งโฉนดที่ดิน ออกเมื่อปีพุทธศักราช 2470 มาเป็นชื่อของมัสยิด โดยใช้เรื่องตัวการตัวแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797,798 แทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 (ครอบครองปรปักษ์)

ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา มัสยิดต่างๆ หลายมัสยิด ได้ใช้มาตรา 1382 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ในการโอนกรรมสิทธ์จากตรัสตี มาเป็นชื่อของมัสยิด ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียม 2% ของราคาประเมิน มัสยิดมหานาค มีโฉนดที่ดินที่เป็นสุสาน 2 แปลง มีเนื้อที่รวม 9 – 1- 39 ไร่ (เก้าไร่ หนึ่งงาน สามสิบเก้าตารางวา) ราคาประเมินตารางวาละ 175,000 บาท (หนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาท) รวมราคาประเมินทั้งสิ้น 654,352,000 บาท (หกร้อยห้าสิบสี่ล้านสามแสนห้าหมื่นสองพันบาท) ถ้าใช้มาตรา 1382 ของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ต้องเสียค่าใช้จ่าย 2 % รวมเป็นเงิน 13,087,040 บาท (สิบสามล้านแปดหมื่นเจ็ดพันสี่สิบบาท)

แต่การดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ที่เป็นตรัสตีป่าช้าแขกให้กับ มัสยิดมหานาค ในครั้งนี้ มาใช้เรื่องตัวการตัวแทน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 797, 798 เสียค่าใช้จ่ายโฉนดละ 50 บาท รวมค่าอากรและคำขออีก 40 บาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นเงิน 140 บาท ซึ่งประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับมัสยิดมหานาค ได้ 13,086,900 บาท (สิบสามล้านแปดหมื่นหกพันเก้าร้อยบาท)

‘ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณ “คุณมานัส ฉั่วสวัสดิ์ ” เจ้าพนักงานที่ดิน กรุงเทพมหานครในขณะนั้น ที่กล้าตัดสินใจทำเป็นกรณีศึกษาเรื่องตรัสตีให้กับมัสยิดในประเทศไทย ตำแหน่งสุดท้ายของท่านมานัส ฉั่วสวัสดิ์ เกษียณอายุราชการในตำแหน่ง “ ที่ปรึกษาด้านประสิทธิภาพของกรมที่ดิน ” และต้องขอขอบคุณ อัลมัรฮูม อดิศักดิ์ รอซีดี ที่ท่านได้อุทิศที่ดินให้กับมัสยิดมหานาค จำนวนเนื้อที่ 33-1-47 ไร่ (สามสิบสามไร่ หนึ่งงาน สี่สิบเจ็ดตารางวา) โดยมี นางมาเรียม รอซีดี เป็นผู้จัดการมรดก ที่ดินตั้งอยู่ คลองซอยที่ 8 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ขอบคุณ อัลมัรฮูม นายหัตยีมหมัดบิน ที่ท่านได้อุทิศที่ดินให้กับมัสยิดมหานาคจำนวนเนื้อที่ 29-2-10 ไร่ (ยี่สิบเก้าไร่ สองงาน สิบตารางวา) (โดยมี นายปราโมทย์ ปาลิยสิทธิ์ เป็นผู้จัดการมรดก) ที่ดินตั้งอยู่ ตำบลคลองสิบ อำเภอหนองจอก จังหวัดกรุงเทพมหานคร’นายอารีย์ กล่าว

อดีตรมว.มหาดไทย กล่าวว่า ทราบข่าวว่ายังมีผู้อุทิศที่ดินอีกหลายแปลงที่อุทิศด้วยวาจา และปัจจุบันผู้อุทิศ ก็ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ทางคณะกรรมการกำลังดำเนินการตามหาทายาท เพื่อจะดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ให้กับมัสยิดในโอกาสต่อไป ซึ่งเท่าที่ทราบ มัสยิดมหานาค มีที่ดินที่จดทะเบียนตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน รวม 198-0-55.6 ไร่ (หนึ่งร้อยเก้าสิบแปด ห้าสิบห้าจุดหกตารางวา) ถ้ารวมกับที่ดินที่เป็นสุสาน และที่ตั้งมัสยิด รวมเป็นเนื้อที่ 207-2-68.2 ไร่ (สองร้อยเจ็ดไร่ สองงาน หกสิบแปดจุดสองตารางวา) ถ้ารวมกับแปลงที่มอบในวันนี้ รวมเป็นเนื้อที่ทั้งหมด 270 -2-25.2 ไร่ (สองร้อยเจ็ดสิบไร่ สองงาน ยี่สิบห้าจุดสองตารางวา)

สำหรับที่ดินวากั๊กของมัสยิดที่กระจายอยู่หลายพื้นที่ รวมทั้งกุโบร์ มีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1,000 ล้านบาท โดยที่ดินส่วนใหญ่ เป็นที่พักอาศัยของชาวบ้าน ที่เก็บค่าเช่าในราคาไม่แพง โดยมัสยิดมีรายได้จากค่าเช่าเดือนละประมาณ 200,000 บาท ใช้ในการส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนและกิจการของมัสยิด

พล.อ.สนธิ บุณยรัตกลิน กล่าวว่า มัสยิดมหานคร นับเป็นตัวอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนที่นับถือศาสนาต่างกัน อย่างตนก็เคยเรียนโรงเรียนวัดพระศรีมหาธาตุ มีความรู้ความเข้าใจในพุทธศาสนา ซึ่งพวกเราจะต้องมีความเข้มแข็งอย่าให้ใครมายุแหย่ให้เกิดความแตกแยก เพราะตอนนี้มีการยุแหย่ให้เกิดคสามแตกแยกทั้งต่างศาสนิก และในกลุ่มศาสนิกด้วยกันเอง

‘ตอนที่คุณพีรพจน์มาปรึกษา ก็บอกว่า จะต้องมีความเข้มแข็ง เพราะแน่นอนว่า การทำงานนี้จะมีเสียงครหา เสียงต่อต้านตามมา เพราะที่ดินของบุุคคลที่บริจาคให้มัสยิดโดยบรรพบุรุษ แต่ลูกหลานอาจจะไม่เห็นด้วย ซึ่งจะมีปัญหา ซึ่งการทำงานให้ยึดถือประโยชน์ของส่วนรวม ‘ พล.อ.สนธิ กล่าว และ ได้ฝากให้มีการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ ให้สะอาด น่ามอง เพราะเวลาขึ้นเครื่องบินมองลงมา แล้วไม่น่ามอง

ด้านอาจารย์ประสาน ศรีเจริญ ได้กล่าวถึงที่วากั๊พว่า ตามหลักศาสนา เมื่อมีการเอ่ยปากยกให้มัสยิด ที่ดินก็เป็นของมัสยิด เป็นของอัลเลาะฮ์ แต่ที่มีปัญหา เป็นขั้นตอนของกฎหมาย ที่เราได้เห็นความยากลำบากของขั้นตอนกฎหมายในการโอนที่ดิน ทั้งอาจมีเสียงของพี่น้องต่างศาสนิกที่มองเข้ามา จะหาว่ามุสลิมเอาเปรียบศาสนาอื่นหรือไม่ ซึ่งเราต้องอธิบายให้เข้าใจ โดยที่ดินของมัสยิดนั้นไม่ใช่ที่ดินส่วนบุคคลแต่เป็นที่ดินวากั๊ คล้ายกับที่ดินธรณีสงฆ์ เป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ เมื่อบริจาคให้มัสยิดแล้ว จะขาย จ่ายแจกหรือให้เป็นกรรมการสิทธิ์ของบุคคลอื่นไม่ได้ เพระาถือเป็นที่ดินของอัลเลาะฮ์ และเมื่อเป็นที่ดินมัสยิด กรรมการมัสยิด ต้องบริหารทรัพย์ ให้เป็นประโยชน์กับสังคม ไม่ใช่ 100 ปีก่อนเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และที่ดินของมัสยิดไม่ได้ห้ามว่า เฉพาะมุสลิมเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์ คนต่างศาสนิกก็สามารถใช้ประโยชน์ได้

ในการมอบโฉนดที่ดินของมัสยิดมหานาคครั้งนี้ ทายาทของผู้วากั๊ฟได้ทำการมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์ของมัสยิด และได้มีผู้บริจาคที่ดินเพิ่มเติ่มจำนวน 28 ตารางวา ย่านบางลำภูด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก มีบรรดาสัปบุรุษของมัสยิด บรรดาอิหม่ามจากมัสยิดหลายแห่งมาร่วมงาน