รับมือวิกฤติของจริง คนไข้เพิ่ม หมอ-เตียงไม่พอ

201

เราเห็นข่าวแพทย์พยาบาลติดโควิดเพราะไปรักษาคนไข้มากขึ้นและโดนกัก นั่นคือ คนที่จะสู้รบกับเชื้อโรคได้หายไปจากระบบ คนไข้มากขึ้น แต่คนรักษามีน้อยลง เราเห็นเตียงที่เต็มในทุกๆที่ทั้งภาครัฐ และเอกชน

เขียนโดย นพ.กษิดิษฐ์ ศรีสง่า

น.พ.กษิดิษฐ์ ศรีสง่า

หลังจากเฝ้าดูมาไม่ถึง 1 สัปดาห์ มีแนวโน้มว่า ประเทศไทยกำลังเข้าสู่วิกฤติของจริง
กองทัพประเทศไทย นำโดยรัฐบาล เป็นแม่ทัพและนายกองตามลำดับ และมีพลทหารทั้งหมดคือประชาชน กำลังเผชิญกับกองทัพใหญ่ทั้งสองด้าน

ด้านที่1
โรคโควิดกำลังระบาดอย่างรุนแรงมากกว่าเดิม เพิ่มมากกว่าเดิม เรื่อยๆ
เราเจอตัวเลขผู้ติดเชื้อ 2 พันต่อวัน เป็นครั้งแรก แต่มันจะไม่หยุดแค่นั้นมันจะเพิ่มขึ้นอีก
เราเห็นคนตาย 7 คนต่อวันเป็นครั้งแรก และต่อไปมันจะกลายเป็นหลักสิบขึ้นไป และจะขึ้นไปอีก
เราเห็นข่าวแพทย์พยาบาลติดโควิดเพราะไปรักษาคนไข้มากขึ้นและโดนกัก นั่นคือ คนที่จะสู้รบกับเชื้อโรคได้หายไปจากระบบ
คนไข้มากขึ้น แต่คนรักษามีน้อยลง
เราเห็นเตียงที่เต็มในทุกๆที่ทั้งภาครัฐ และเอกชน โดยรัฐบาลพยายามป่าวประกาศเสมอว่า มีเตียงพอเพียง แต่เมื่อสอบถามจากผู้เกี่ยวข้องและผู้ที่เป็นโควิดต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องรอเตียง และรอกัน 2-3 วัน ข่าวที่คนไข้รอเตียงจนตายจะพบมากขึ้นๆ ถ้ายังไม่มีการคิดใหม่ทำใหม่
เราจะได้เห็นข่าวห้องไอซียูขาดแคลน เครื่องช่วยหายใจขาดแคลนในไม่ช้านี้
สถานการณ์ทางการแพทย์ต้องการการล๊อคดาวน์อย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ เพื่อหยุดการระบาดนี้ ซึ่งอาจจะกินเวลาถึง 1 เดือน
ด้านที่ 2
เศรษกิจที่หยุดมานาน และอยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือเล็กน้อยจากรัฐกำลังสายป่านหมดไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นการปิดโรงงาน ปิดสำนักงาน การตกงาน การลักขโมย อาชญากรรมทุกๆอย่างเพิ่มขึ้นในทุกๆที่ คนจะอดตาย ฆ่าตัวตายกันจนเป็นข่าวปกติ
สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ต้องการการเปิดประเทศอย่างเร็วที่สุด ภายในเดือนสองเดือนนี้ก่อนกลียุคจะเกิด
เรากำลังอยู่ในระหว่างเขาควาย หนีเสือปะจระเข้ มีความสูญเสียเกิดขึ้นแน่นอน จะมากหรือน้อยเท่านั้น
ถ้าแม่ทัพ นำทัพได้เก่งพอ เราก็จะเหลือรอดมาก ถ้าแม่ทัพนำทัพไม่เก่งพอ เราก็จะตายกันเป็นเบือ สูญเสียทรัพย์สินกันมหาศาลให้กับต่างชาติ เพราะคนไทยขายธุรกิจเพื่อหนีตาย และเมื่อเหตุการณ์กลับเป็นปกติ เราก็จะต้องกลับมาเป็นลูกจ้างของโรงงานที่เคยเป็นของเรามาก่อน

ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่ต้องการที่สุดคือ สติ และปัญญา และความกล้าในการตัดสินใจ

เราต้องคุมสติให้ได้ทั้งรัฐบาลทั้งประชาชน คิดให้รอบคอบ ใช้ปัญญาและความกล้าหาญหาแนวทางที่เป็นไปได้ และเดินไปในทางที่สูญเสียน้อยที่สุด
ทางรอดทางเดียวที่เราจะต้องวิ่งไปให้ถึงโดยเร็วที่สุดคือ วัคซีน

การฉีดวัคซีนให้ได้ทั่วประเทศ หรืออย่างน้อย 60 % ภายใน 3 เดือนข้างหน้านี้ ถ้าทำได้ความเสียหายจะจบแค่นั้น
ถ้าทำไม่ได้หรือทำช้า ความเสียหายจะมากมายมหาศาล ดังที่มีคนเคยคำนวณเอาไว้ว่า 2แสนล้านต่อเดือนนั่นแหละ
นี่ยังไม่นับชีวิตคนที่มีคุณภาพหลายๆคนที่ต้องเสียไปจากการติดโรคโดยเพราะต้องช่วยคนอื่น (แพทย์ พยาบาล อสม), และคนทั่วไปที่คนอื่นนำโรคมาติดเขาทั้งๆที่เขาเฝ้าระวังเต็มที่แล้ว
ป่วยการที่จะเอานิ้วชี้ไปหาใครเพื่อจะโทษกัน มันถึงเวลาที่จะหาทางให้เสียหายน้อยที่สุดแล้ว และทุกๆอย่างต้องเดินไปทางนั้นทางเดียว
ต่อไปนี้คือแนวทางที่รัฐบาลต้องทำทันที
ภาครัฐบาล
ส่วนของวัคซีน
1. หาวัคซีนทันที ให้ได้ไวที่สุด และปริมาณมากที่สุดด้วย
2. รัฐบาลต้องเลิกกั้ก เลิกกีดกันเอกชน เลิกใช้กฎหมาย กฎระเบียบมาเป็นตัวตั้ง แต่ต้องเอาเป้าหมายคือ วัคซีน 80 ล้านโดส เพื่อคนไทย 40 ล้านคนให้ได้ภายใน 3เดือนนี้
3. กฎที่ขวางอยู่คือ วัคซีนตอนนี้เป็นกรณีเร่งด่วนผู้ซื้อต้องรับผิดชอบความเสี่ยง เขาจึงขายให้รัฐบาล เพื่อให้รัฐรับความเสี่ยง แต่ไม่ขายให้เอกชนเพราะเอกชนจะรับความเสี่ยงมหาศาลเช่นนี้ไม่ได้
4. ทางแก้มีทางเดียวคือ รัฐ รับความเสี่ยงแทนเอกชน ให้ถือเสมือนว่า การฉีดวัคซีนของเอกชน คือการฉีดของรัฐ ประชาชนทุกคนที่ได้รับการฉีดวัคซีน ถ้าดำเนินการโดยถูกต้อง วัคซีนเป็นของแท้ แล้วเกิดปัญหาขึ้น รัฐจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด
5. ที่แล้วมารัฐไม่กล้าและไม่ยอมที่จะฝ่ากฎนี้ โดยรัฐลืมไปว่า ตัวเองคือ ผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ส่วนประชาชนมีหน้าที่ทำตามกฎหมาย ประชาชนแหกกฎหมายไม่ได้ แต่รัฐสามารถแหกกฎหมายทำให้เกิดข้อยกเว้นได้ เพราะรัฐคือผู้บริหาร ที่บางครั้งจะต้องแหกกฎเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายโดยเสียหายน้อยที่สุด โดยผู้บริหารสูงสุดนั้นรับผิดชอบ
6. ครั้งหนึ่งผมได้รับโอกาสให้เป็นผู้บริหารได้รู้เห็นการทำงานของบริษัท ผมได้รับการสอนมาจากซีอีโอผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งท่านบอกว่า พนักงานมีหน้าที่ทำตามกฎ แต่ผู้บริหารมีหน้าที่แหกกฎ และเมื่อแหกกฎแล้วต้องรับผิดชอบถ้ามีความเสียหายขึ้น นั่นคือหน้าที่ผู้บริหาร เขาต้องยอมเสี่ยงเป็นคนแรก ไม่ใช้ผู้บริหารไม่เสี่ยง แต่ใช้ให้พนักงานเสี่ยงแทนอันนี้ใช้ไม่ได้
7. การที่รัฐดำเนินการติดต่อซื้อวัคซีนกับรัสเซียและเขาตอบรับ เป็นตัวอย่างอันดีว่า ความจริงหนทางที่จะหาวัคซีนมันมีอยู่ และสามารถหาได้ ถ้ารัฐตั้งใจทำจริง
8. แต่รัฐอย่างเดียวจะไม่ทันการแล้วดังนั้น ต้องให้เอกชนช่วยหา ช่วยติดต่อ ล๊อตใหญ่ไม่ได้ ก็เอาล๊อตเล็กมา ล๊อตละแสน 10 ล๊อตก็ 1 ล้านแล้ว
9. สถานฑูตบางประเทศเขาห่วงคนของเขา และเขามีวัคซีนอยู่แล้ว สถานทูตเขาอยากจะนำวัคซีนมาฉีดให้คนของเขา ก็อนุญาตไปเถอะ อย่าไปกีดกัน อย่าให้เขาต้องรอวัคซีนของเรา เขามี Pfizer ,Moderna อยู่ จะมาบังคับให้เขาฉีด Sinovac มันไม่น่าจะถูกต้อง
10. อย่ากลัวว่า วัคซีนจะมากเกิน วัคซีนจะเหลือ เสียเงินฟรี มันไม่มากหรอกครับถ้าเทียบกับที่เราเสียเงินกับความล่าช้าเดือนละ 2 แสนล้าน เวลามีค่าครับท่าน
ส่วนของการดูแลผู้ป่วย
1. ยกเลิกข้อบังคับว่าตรวจโควิดเจอต้องแอดมิดทุกรายได้แล้ว ตั้งแต่วันนี้ อย่ารอจนมีคนตายรายวันจากไม่มีเตียง รัฐต้องรู้แล้วตอนนี้ว่าเตียงมันไม่พอให้คนติดเชื้อทุกคน 100 เปอร์เซ็นต์ แต่มันยังพอสำหรับคนที่เจ็บป่วยมากและต้องรักษา ที่มีแค่ 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ดังนั้นจาก 100 คน จะเหลือแค่ 20 คน
2. อย่าปล่อยจนถึงเวลาที่เตียงมีไม่พอให้คนไข้หนักและคนไข้ปานกลาง และคนไข้เสี่ยง เพราะคนที่ไม่มีอาการมาครองเตียงไปหมด เมื่อถึงวันนั้น ถ้าเป็นญาติเราเราจะเสียใจ และมันจะกลับมาไม่ได้อีก
3. คนที่ไม่มีอาการให้อยู่บ้าน แล้วให้ตอบแอปทุกวันว่า อุณหภูมิเท่าไร มีอาการหอบเหนื่อยไหม กินอาหารได้ไหม ฯลฯ ตอนผมถูกกักตัวที่บ้านผมต้องกรอกแอปของ รพ ทุกวันว่ามีอาการอย่างไร อุณหภูมิเท่าไร หายใจเท่าไร ฯลฯ รพ ผม ยังทำได้ ทำไมระดับประเทศจะทำไม่ได้
4. เมื่อมีอาการผิดปกติก็ค่อยส่งคนไปตรวจดูแล และถ้าจำเป็นก็หาเตียงแอดมิดทันที (ไม่ต้องให้คนไปเดินถามทุกๆวัน มันไม่ทัน มันเหนื่อย และวันหนึ่งคนไปเดินถามนั่นแหละจะติดโควิดเสียเอง )
5. ทุกๆแห่งต้องมีเตียงเผื่อไว้เสมอ อย่างน้อยๆ 10 เตียงในทุกๆวัน และ ไอซียู ต้องมีอย่างน้อย 2 เตียงว่างในทุกๆวัน ถ้าไม่มีต้องพยายามหามาให้ได้ ไม่ใช่รอจนเต็มแล้วค่อยวิ่งหา
6. คนที่ไม่มีความสามารถจะทำได้ อยู่บ้านไม่ได้ด้วยเหตุใดก็ตาม หรือมีปัจจัยเสี่ยงค่อยเอามาอยู่ รพ สนาม และจัดคนดูแลให้พอ
7. ทำได้อย่างนี้ เราจะลดคนที่ต้องใช้เตียงไปเกินครึ่งแน่นอน ทำเลยครับ
ส่วนของบุคลากรทางการแพทย์
1. ต้องไม่ให้เกิดความสูญเสียต่อบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มขึ้น
a. ฉีดวัคซีนให้บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก่อน เดี๋ยวนี้เลย
b. ใช้ระบบเข้าช่วยในการดูแลผู้ป่วยที่เป็นไม่มาก เช่นการวัดไข้ แจกปรอทวัดไข้ให้คนไข้ทำเอง สอนวิธีให้ และทำแอปป์ให้ลงบันทึกไข้ และอาการต่างๆลงไป ถ้าอาการผิดปกติให้เครื่องส่งเสียงเตือนมาค่อยเข้าไปดู
c. ต้องมีชุดป้องกันพอเพียงสำหรับทุกๆคน ทุกๆฝ่าย
d. โรงพยาบาลสนามต้องมีห้องน้ำพอเพียงด้วย บางแห่งมี 200 เตียงแต่มีห้องนั้น 10 ห้อง ถ้าทุกๆคนเข้าวันละครั้งเพื่อถ่ายหนัก และสองครั้งเพื่อปัสสาวะ ไม่นับทำธุระอื่น จะเกิดการเข้าห้องน้ำ 600 ครั้ง ห้องหนึ่งจะเข้าถึง 60 ครั้ง คนต่อแถวมหาศาลมาก การต่อแถวยาวๆมีความเสี่ยงที่จะแพร่โรค ห้องน้ำก็จะไม่ได้ทำความสะอาด เผลอๆติดโรคอื่นๆตามๆกันไปอีก
ภาคประชาชน
1. ใส่หน้ากากตลอด ล้างมือตลอด อยู่ห่างผู้อื่นตลอดไม่ว่าเขาจะมีไข้หรือไม่มีไข้ อย่าเข้าไปในที่อับโดยไม่จำเป็น ถ้าเข้าต้องระวังตัวไม่จับอะไร และรีบออกมาทันทีที่สามารถทำได้ และทำการล้างมือหรือบริเวณที่โดนทันที
2. อย่าไปในที่มีคนมากๆโดยไม่จำเป็น ถ้าไปต้องระวังอย่างมาก และอย่าสัมผัสอะไรที่ไม่จำเป็น
3. ก่อนเอามือมาโดนหน้าให้ล้างมือก่อนเสมอ ทำให้เป็นนิสัย
4. อยู่บ้านได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ต้องไปทำงาน แต่ด้วยความระมัดระวัง
5. ถ้ามีแขกมาบ้านจัดเลี้ยงอะไรกันก็ต้องมี โซเชียลดิสแทนส์เสมอ ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น
6. ล๊อคดาวน์ตัวเอง และครอบครัว อย่าหวังให้รัฐบาลล๊อคดาวน์ เขาจะไม่ทำอย่างแน่นอน
ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองชาวไทยทุกๆท่านและประเทศไทย ให้รอดพ้นจากภัยของโรคระบาดในครั้งนี้ด้วยเทอญ อามีน

นพ.กษิดิษฐ์ ศรีสง่า

การศึกษา
– 2527 แพทย์ศาสตร์บัณฑิต (พ.บ) มหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร กรุงไคโร อียิปต์
– 2537 ศัลยศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
– 2554 วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต (วท.ม.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยลัย

ปัจจุบัน
– ผู้อำนวยการแผนกผู้ป่วยอาหรับ โรงพยาบาลกรุงเทพฯ