แหล่งข่าวลึกลับ!!! เปิดเผยว่า ระบอบบาชาร์ต่างหากที่โดนโจมตีด้วยอาวุธเคมี

155

หลังมีรายงานจากสื่อไทยรายหนึ่งอ้างข้อมูลจาก แหล่งข่าวของสหประชาชาติ (UN) ที่ไม่กล้าเปิดเผยชื่อ ไม่กล้าเปิดเผยตัว แต่กลับเปิดข้อมูลที่แหวกแนวผ่านทางทีวีของสวิตเซอร์แลนด์ ว่า กลุ่มกบฏซีเรีย เป็นผู้ใช้อาวุธเคมี ในการถล่มกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย มาโดยตลอด

“ผู้ตรวจสอบของเราอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านได้สัมภาษณ์ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงหมอและโรงพยาบาลสนามและตามรายงานของสัปดาห์ที่แล้ว และมีหลักฐานชัดเจนที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ยังไม่ยืนยันว่า แก๊สโซรินมาจากที่ใด แต่ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อได้ยืนยันต่อคณะกรรมาธิการ การสอบสวนครั้งนี้ว่า การกระทำดังกล่าวเป็นของฝ่ายกบฏ ไม่ใช่หน่วยงาน หรือกองกำลังของรัฐบาลอย่างแน่นอน” แหล่งข่าวลึกลับที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สหประชาชาติอ้างกับสื่อสวิตเซอร์แลนด์

เป็นที่น่าสังเกตุว่ารายงานดังกล่าวขัดแย้งกับรายงานในเดือนสิงหาคม 2016 ถึงผลสอบสวนของสหประชาชาติ (UN) และองค์การห้ามอาวุธเคมี (OPCW) ซึ่งรับหน้าที่ในการตรวจสอบ ในนามกลไกสืบสวนร่วม (JIM) อย่างได้มีผลสรุปเป็นเอกฉันท์จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง UN พุ่งเป้าที่การโจมตี 9 ครั้ง ใน 7 จุดในซีเรีย ซึ่งจากการสืบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงของ OPCW พบแนวโน้มการใช้อาวุธเคมี และการโจมตี 8 ครั้งในจำนวนนี้เกี่ยวข้องกับการใช้แก๊สคลอรีน

การสอบสวนไม่สามารถฟันธงใน 6 กรณี และ 3 กรณีที่เหลือสมควรได้รับการสอบสวนเพิ่มเติม

รายงานที่เผยแพร่ออกมาเมื่อวันพุธ (24 สิงหาคม 2016) ระบุว่า มีข้อมูลเพียงพอสรุปว่า เฮลิคอปเตอร์ของกองกำลังระบอบบาชาร์ อัล-อัสซาด ทิ้งอุปกรณ์ปล่อยก๊าซพิษลงในทัลเมเนส เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2014 และซาร์มิน ในวันที่ 16 มีนาคม 2015 ซึ่งทั้งสองจุดอยู่ในเมืองอิดลิป และทั้งสองกรณีเกี่ยวข้องกับการใช้แก๊สคลอรีน

นอกจากนั้น ยังมีข้อมูลเพียงพอสรุปว่า กลุ่ม ISIL เป็นองค์กรเดียวที่มีศักยภาพ แรงจูงใจ และช่องทางในการใช้แก๊สซัลเฟอร์มัสตาร์ดในมาเรียเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ปีที่แล้ว

ในรายงานอีกฉบับ OPCW พบว่า มีการใช้แก๊สคลอรีนอย่างเป็นระบบหลายครั้งระหว่างสงครามกลางเมืองในซีเรีย

โดยจากผลสรุปการสอบสวนดังกล่าวยังพบว่าการใช้อาวุธเคมีดังกล่าวมีขึ้นทั้งที่ บาชาร์ อัล-อัสซาด ได้ตกลงในการทำลายอาวุธเคมีแล้วในปี 2013 ภายใต้ข้อตกลงที่รัสเซีย และสหรัฐ เป็นตัวกลาง และคณะมนตรีความมั่นคงฯ ให้การสนับสนุนผ่านมติ ที่ระบุว่า ในกรณีที่มีการฝ่าฝืน ซึ่งรวมถึงการถ่ายโอนหรือการใช้อาวุธเคมีโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยผู้ใดก็ตามในซีเรีย คณะมนตรีจะใช้กฎบัตร UN หมวดที่ 7 ซึ่งระบุถึงมาตรการลงโทษและการใช้กำลังทหารโดยคณะมนตรีฯ แต่รายงานกลับพบว่ากว่า 80% ของการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียเกิดขึ้นหลังจากการทำลายอาวุธเคมีในปี 2013 แล้ว และไม่มีการดำเนินการใดๆ ของสหประชาชาติแม้จะมีการละเมิดกฎการห้ามใช้อาวุธเคมีอย่างชัดเจน และแม้จะมีมติของสหประชาชาติให้ใช้กฎบัตรหมวด 7 ในการใช้กำลังโจมตีผู้ที่ละเมิดก็ตาม

โดยหลังมีรายงานผลสอบสวน อังกฤษและฝรั่งเศสเรียกร้องให้สหประชาชาติมีมติคว่ำบาตรลงโทษซีเรีย แต่รัสเซียคัดค้าน โดยเชอร์คิน เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตน “ยังมีคำถามสำคัญหลายข้อ” และเสนอให้คณะสืบสวนดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติม

“แน่นอนว่าเรามีหลักฐานอยู่ เราทราบว่าก๊าซคลอรีนถูกนำมาใช้แน่นอน แต่อย่าลืมว่าไม่มีรอยนิ้วมืออยู่บนปืน” เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติกล่าว

จากผลการสอบสวนดังกล่าวยืนยันผลสรุปผลสอบสวนที่เป็นเอกฉันท์ในการเสนอต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หมายความว่าไม่มีคณะสอบสวนคนใดเห็นแย้งในมติดังกล่าว ที่ยืนยันว่าพื้นที่ปกครองของฝ่ายต่อต้านซีเรียหรือ FSA ถูกโจมตีด้วยอาวุธเคมี และไม่มีรายงานใดที่ตั้งข้อสงสัยว่า FSA มีอาวุธเคมีไว้ในครอบครอง

นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม 2015 ยังมีรายงานว่าที่กล่าวหาว่ารัสเซียใช้อาวุธเชื้อเพลิงที่เป็นผงพิษฟอสฟอรัสขาวซึ่งสามารถฆ่าผู้คนด้วยสารพิษหรือเผาไหม้ได้ ถล่มโจมตีเขตพลเรือนซีเรียในเมืองเราะเกาะอีกด้วย

นอกจากนี้ข้อมูลจากแหล่งข่าวลึกลับของสหประชาชาติยังขัดแย้งกับจดหมายฉบับล่าสุดที่ตุรกีทำงานร่วมกับ WHO ส่งถึงสหประชาชาติที่ยืนยันว่าตรวจพบแก๊สทำลายประสาทในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี จากความร่วมมือของตุรกีกับผู้เชี่ยวชาญของ WHO ได้ยืนยันผลลัพธ์จากการตรวจสอบเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตีที่ใกล้ชายแดนตุรกี – ซีเรีย

จดหมายดังกล่าวยังระบุว่ามีการใช้สารทำลายประสาทในการโจมตีกว่า 20 ครั้งด้วยสารเคมีร้ายแรงอย่างไซยาไนด์ และ มันคือ “ความเลวร้ายที่สุดของความชั่วร้าย”

พร้อมระบุอีกว่ามีรายงานการโจมตีด้วยอาวุธเคมีโดยระบอบการปกครองบาชาร์ อัล-อัสซาดอีก เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา และอีกครั้งในวันที่ 30 มีนาคม พร้อมย้ำว่าการโจมตีดังกล่าวจะยังคงไม่ลดละหากผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตน