จับตา ประเด็นร้อน! กลยุทธ์ “แยกกันเดิน รวมกันตี” มีนัยยะอย่างไร?

64

การเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายปลายรัฐบาล แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะยืนยันกับสาธารณะผ่านสื่อมวลชน ว่าจะมีความชัดเจนในต้นปีหน้า หรือ พ.ศ.2566 แต่จากสถานการณ์รอบด้านและคนใกล้ชิด ได้ตอบคำถามกันเบื้องต้นแล้ว ระหว่างความสัมพันธ์ของ “พี่น้องสองป.” ด้วย กลยุทธ์อันแยบยล “แยกกันเดิน รวมกันตี” มีนัยะสำคัญอย่างไร เป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตาม..

ภาพการแยกทางกันเดินระหว่าง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)

กลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมือง ทำเอาทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ขานรับ ขยับ ปรับตัว กันจ้าละหวั่น!

“พล.อ.ประยุทธ์” ค่อนข้างชัดเจน ร้อยละ 99 จะผงาดไปนั่งเก้าอี้ประธานพรรค โดยมีรายชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ที่มี “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” เป็นหัวหน้าพรรค ขณะที่ “ลุงป้อม” ยังปักหลักอยู่กับ พปชร.

แต่ที่ต้องตัดสินใจ คือ สมาชิก พปชร. ต้องเลือกว่าจะไปอยู่กับ “บิ๊กตู่” หรือ “ลุงป้อม” คนแรกที่ชัดเจน เช่นกัน คือ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน โพสต์เฟสบุ๊ค ประกาศ “ลุงตู่ไปไหน เราไปด้วย จะทิ้งให้ไปคนเดียวได้ยังไง”

โดย “เสี่ยเฮ้ง” นำ ส.ส.พปชร. จำนวนหนึ่ง อาทิ น.ส.ไพลิน เทียนสุวรรณ ส.ส.สมุทรปราการ , นายสมพงษ์ โสภณ ส.ส.ระยอง , นายสาทิตย์ อุ๋ยตระกูล ส.ส.เพชรบุรี , นายรณเทพ อนุวัฒน์ ส.ส.ชลบุรี , พ.ต.ท.ฐนภัทร กิตติวงศา ส.ส.จันทบุรี , นายอริญชัย ซูสารอ ลูกชายนายอนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ เข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่บ้านพัก

รวมถึง นายธนกร วังบุญคงชนะ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พปชร. ที่นำ ส.ส.สงขลา และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา พปชร. 4 คน ประกอบด้วย นายศาสตรา ศรีปาน ส.ส.เขต 2 , นายพยม พรหมเพชร ส.ส.เขต 3 , ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี เขต 4 และนายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สงขลา เข้าไปพบ พล.อ.ประยุทธ์ ในเวลาไล่เลี่ยกัน
ทั้งหมดนี้ เป็นแค่เบื้องต้นเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริง จะมี ส.ส. พปชร. ประมาณ 30-40 คน ยกทีมไปสมบกับ “บิ๊กตู่” ที่ รทสช. เพื่อสู้ศึกเลือกตั้ง ที่จะมีขึ้นในเดือน มี.ค.2566

ที่สำคัญขุมกำลังของรวมไทยสร้างชาติ ไม่ใช่มีเพียง กลุ่ม ส.ส.ของ “เสี่ยเฮ้ง” เท่านั้น หากแต่สรรพกำลังดั้งเดิมของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่อาศัยความสัมพันธ์ สมัยเมื่อครั้งอยู่ในค่ายพระแม่ธรณีบีบมวยผม พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่มีบุคคลระดับ ”บิ๊กเนม” มารวมตัวกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี, ถาวร เสนเนียม, รังสิมา รอดรัศมี, พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล, เอกณัฐ พร้อมพันธ์, พันโทสินธพ แก้ววิจิตร และ อีกหลายๆ คน

ปรากฏการณ์ ส.ส. และสมาชิกพรรค ปชป. ไหลออก ถูก จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หน.พรรค และ นิพนธ์ บุญญามณี รอง หน.พรรค แดกดันว่า “เป็นการตกปลาในบ่อเพื่อน” เล่นการเมืองไม่สมศักดิ์ศรี พร้อมเย้ยหยันว่า “คนที่ไปจากประชาธิปัตย์ ไม่เคยมีคนไหนได้เป็น ส.ส.กลับมา”

กลับมาในส่วนของ พปชร. แม้จะต้องสูญเสียขุมกำลังไปจำนวนหนึ่ง แต่ก็มีข่าวดีว่า จะได้กลุ่ม ส.ส. ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า กลับคืนมา โดยเป็นสายเลือดเก่าของ พปชร. ที่แยกตัวออกไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย (ศท.)

แต่การกลับมาของ “ร.อ.ธรรมนัส” ก็ไม่ง่ายนัก เพราะยังมีแรงต้านจาก “กลุ่มสามมิตร” ของ สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และ อนุชา นาคาศัย รวมถึงการปล่อยข่าว หากกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส กลับมา จะสร้างความแตกแยกรุนแรง ถึงขั้นพรรคแตก

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียง “กระแสข่าว”

แต่ที่สามารถยืนยันได้แน่ คือ “ลุงป้อม” และ “ร.อ.ธรรมนัส” มีความสัมพันธ์แนบแน่น และได้เจรจาตกลงกันแล้ว รอแค่ให้สถานการณ์ลงตัว “ลุงป้อม” จะอาศัย “บารมี” เฉพาะตัว เจรจากับทุกฝ่ายใน พปชร. ให้ยอมรับการคืนถิ่นของ “ผู้กอง” ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องร่วมกัน เพื่อชาติ บ้านเมือง !

แต่ทว่า กลับมีประเด็นที่กำลังร้อนแรง และกระทบโดยตรงกับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากการงัดข้อมูลลับ ออกมาแฉของ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ระบุว่า “ตู้ ห่าว” หรือ นายชัยณัฐร์ กรณ์ชายานันท์ เจ้าของผับ “จิน หลิน” นักธุรกิจทุนจีนสีเทาที่ อยู่เบื้องหลัง “บ่อนพนัน-ยาเสพติด” ซึ่งขณะนี้กำลังตกเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล นายตำรวจชื่อดัง ที่รับผิดชอบในคดีธุรกิจจีนข้ามชาติสีเทา มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ พปชร. ในฐานะผู้บริจาคเงินสนับสนุน จำนวน 3 ล้านบาท ให้พรรคใช้ในการทำกิจกรรมทางการเมือง และเป็นผู้นำนาฬิกาหรู ราคากว่าสิบล้าน มอบให้ “คนที่ชื่นชอบนาฬิกา”

ถือเป็นระเบิดลูกใหญ่ ที่ทำเอา “บิ๊กป้อม” ตกที่นั่งลำบาก กระเทือนถึง “บารมี” ที่มีอยู่ และที่สำคัญ ยังโยงไปถึง “ร.อ.ธรรมนัส”

เนื่องจาก “ชูวิทย์” พูดชัดเจนว่า “ตู้ห่าว” กับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ใกล้ชิด สนิทสนมกัน ถึงขนาดให้ยืมเครื่องบินส่วนตัว อำนวยความสะดวกให้ ร.อ.ธรรมนัส ในช่วงดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ ไปใช้ในภารกิจ หลายต่อหลายครั้ง

เท่ากับเป็นการเปิดแผล ที่สร้างความปวดแสบปวดร้อน ให้ “ลุงป้อม” อย่างยิ่ง และตีกันการกลับมา พปชร. อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น โดยเฉพาะ เมื่อ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ออกมายืนยันว่า “ตู้ ห่าว” เป็นผู้บริจาคเงินจำนวน 3 ล้านให้กับ พปชร. ทั้งๆ ที่ ไม่มีใครตั้งคำถาม
การเปิดประเด็นดังกล่าวของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” ย่อมมีเหตุผล เพราะ “กลุ่มสามมิตร” กับ “ร.อ.ธรรมนัส” เป็นไม้เบื่อไม้เมา เปรียบเหมือนน้ำกับน้ำมัน ที่ไม่มีวันที่จะมารวมกันได้ และถ้า “บิ๊กป้อม” ยังยืนยัน จะให้กลับมา พปชร.

นั่นเท่ากับว่า “กลุ่มสามมิตร” ต้องหาที่อยู่ใหม่ ในสถานการณ์เช่นนี้ มีสองทางเลือก คือ 1. ไปอยู่กับเพื่อไทย 2. ไปสมทบกับ “ลุงตู่” ที่รวมไทยสร้างชาติ ซึ่งทางเลือกไป รวมไทยสร้างชาติ ก็ยังมีปัญหากับ “เสี่ยเฮ้ง” และอีกหลายๆ คน เชื่อว่า หากไม่มีทางหลีกเลี่ยง กลุ่มสามมิตร น่าจะไปอยู่กับ เพื่อไทย มากกว่า !
กลับไปที่ การแยกตัวของ “พี่น้องสองป.” เพื่อสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มีการประเมินว่า เป็นกลยุทธ์ทางการเมือง “แยกกันเดิน” แล้ว “กลับมาช่วยกันตี” เพื่อต่อกรกับคู่แข่งอย่าง พรรคเพื่อไทย (พท.) ประชาธิปัตย์ (ปชป.) และ ภูมิใจไทย (ภท.)

โดยมีเงื่อนไขว่า หลังการเลือกตั้ง ถ้า พปชร. และ รทสช. เป็นฝ่ายได้ชัย แม้จะไม่ได้เสียงมากที่สุด แต่สามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ เช่นเดียวกับ การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 “บิ๊กตู่” และ “ลุงป้อม” จะแบ่งกันเป็นนายกฯ คนละ 2 ปี โดยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่งเก้าอี้นายกฯ ก่อนเป็นลำดับแรก และ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปี ในวาระที่เหลือ และยังถือว่าเป็นการก้าวลงจากหลังเสือของ ”บิ๊กตู่” ได้อย่างงดงาม!

ซึ่งหากสามารถตกลงกันได้ในเงื่อนไขดังกล่าวนี้ เท่ากับสอดรับกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ใน “วาระ 8 ปี” ที่ชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ เริ่มเป็นายกฯ เมื่อปี 2560 และ จะไปสิ้นสุดในปี 2568

ดังนั้น ภาพการแยกกันเดินของ “บิ๊กตู่-ลุงป้อม” จึงสอดประสานด้วยเหตุผล อันแยบยล ด้วยประการทั้งปวง

แต่ความฝันของ พี่น้องสองป. จะสัมฤทธิ์ผลหรือไม่? เมื่อพรรคการเมืองคู่แข่งตัวฉกาจ โดยเฉพาะ เพื่อไทย ณ วันนี้ ได้ซุ่มซ้อม ฝึกปรือ งัดตำราฝีมือ หลากหลายกระบวนท่า พร้อมเต็มพิกัด จัดบุคลากรทรงคุณค่า ทั้ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร , เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของอาณาจักร “แสนศิริ” ที่ถูกวางตัวเป็นแคนดิเดต นายกรัฐมนตรี

ไม่รวมทั้ง กลุ่มผู้สนับสนุน “คนเสื้อแดง” ในพื้นที่ภาคเหนือ อีสาน ด้วยเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” ตั้งเป้ากวาด ส.ส.ให้ได้มากที่สุด เกินกึ่งหนึ่ง เพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว

และเมื่อดูจากกระแสตอบรับ หลังการตระเวนเดินสายหาเสียง ในช่วงที่ผ่านมา “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ได้รับกระแสตอบรับดีมาก จนโพลทุกสำนัก ยกให้เป็นบุคคลที่มีประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีมากที่สุด เป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันต่อไป!