ยก 4 ชิงนายกฯอบจ.นครฯ บทพิสูจน์ทฤษฎี 4 ก. ใครมีครบคนนั้นชนะ

ยกสี่การหาเสียงเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช เหลือเวลาไม่ถึง 20 วันก็จะเป็นวันชี้ชะตาอนาคตการเมืองท้องถิ่นอย่าง อบจ.นครศรีธรรมราช แล้ว

24 พฤศจิกายน จะเป็นวันพิพากษาโดยประชาชน มีผู้ลงสมัครชิง4 คน คือ เบอร์ 1 “เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช จากกลุ่มพลังเมืองนคร อดีตนายกฯอบจฯ เบอร์ 2 น้ำ-วาริน ชิณวงค์ กลุ่มนครเข้มแข็ง อดีตประธานหอการค้านครศรีธรรมราช และอดีตกรรมการหอการค้าไทย หมายเลข 3. นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ อดีตส.ส.พรรคพลังประชารัฐ และหมายเลข 4 ดร.สัณหพจน์ สุขศรีเมือง อดีต ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ

แม้ในช่วงแรกๆของการสมัคร ต้องยอมรับความจริงว่า เจ้ต้อย-กนกพร เป็นต่ออยู่หลายขุมในฐานะแชมป์เก่า คนรู้จัก ทีผลงานสัมผัสได้ ในขณะที่น้ำ วาริน คนยังถามว่า เบอร์ 2 คือใคร มาจากไหน แต่เมื่อการหาเสียงผ่านยก 1 ยก 2 ไป เสียงถามว่า เบอร์ 2 คือใคร เริ่มหายไปจากร้านน้ำชา อันเกิดจากการเดินสายพบปะแนะนำตัวต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ประกอบกับการใช้สื่อที่ผ่านการวางแผนมาอย่างดี เป็นขั้นเป็นตอน มีการลำดับเรื่องในการนำเสนอ ที่เริ่มต้นจากการแนะนำตัว ประกาศเจตนารมย์ ตามมาด้วยการนำเสนอนโยบายที่ประสงค์จะทำให้เมืองนคร เปลี่ยนเมืองนครอย่างไร และเปิดเวทีปราศรัยที่ปากพนังบ้านเกิดเป็นเวทีแรก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายนที่ผ่านมา มีคนฟังประมาณ 1500-2000 คน

จากนั้นมีนโยบายว่าจะเปิดเวทีปราศรัยทุกอำเภอ ที่อาจจะมีฝนเป็นอุปสรรคอยู่บ้าง และน้ำได้โพสต์ข้อความทำนอนว่า ”เก็บเสื้อผ้ายัดใส่ท้ายรถ ค่ำไหนนอนนั้น ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง

ในขณะที่เจ้ต้อย-กนกพร เดินสายเปิดเวทีย่อยทุกวันมาตั้งแต่ยก 1 แล้ว วันละ 3-4 เวที 30-40 คน ก็ปราศรัย เพื่อหลีกหนีหน้าฝน แต่เป็นการเดินสายเก็บคะแนนเป็นกอบเป็นกรรม กับการแจกแจงผลงานในรอบ 4 ปี และนโยบายที่จะทำต่อไปในเทอม 2 นี้ ได้เห็นนโนบายหลายๆเรื่องของเจ้ต้อย ก็น่าสนใจ เพียงแต่อาจจะมีคำถามว่า แล้ว 4 ปีที่ผ่านมาทำไมไม่ทำ ตามมาด้วยคำถาม ลาออกก่อนหมดวาระแล้วมาสมัครใหม่ทำไม ซึ่งจริงฯการลาออกเป็นสิทธิ์ตามกฎหมายที่สามารถทำได้ กฎหมายกำหนดไว้ชัดว่าพ้นจากตำแหน่งเมื่อหมดวาระ ลาออก และตาย และมีนายกฯอบจ.ลาออกก่อนหมดวาระมากถึง 20 จังหวัด การไปร้องกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จึงไม่น่าจะมีผลอะไร

อีกด้านหนึ่ง พรรคน้ำเงิน อย่างนายพิพัฒน์ รัชชกิจประการ รมว.แรงงาน ก็ได้ลงพื้นที่นครศรีธรรมราช ขนทีมงานไปเต็มอัตราศึก ระดมกลุ่มแม่บ้าน ชุมชนกว่า 1,500 คนมาประชุมสัมมนา เพื่อส่งเสริมอาชีพอิสระ และอาชีพต่างๆ ไม่รู้ว่านัยเพื่อช่วยผู้สมัครบางคนหรือไม่ ถ้าใช่ก็นับว่า เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งของการเลือกตั้ง แต่ไม่ช่วยหาเสียงโดยตรงแต่หาเสียงโดยอ้อม

ขณะที่สัณหพจน์ กับนายอำเภออาญาสิทธิ์ ก็เดินสายพบปะชาวบ้านอย่างต่อเนื่องเช่นเดียว แต่กระแสดูจะยังไม่ได้รับการตอบสนองจากคนนครมากนัก

ประเด็นคำถามคือ กระแสของน้ำดีขึ้น อันนี้เป็นความจริงที่ต้องยอมรับ แต่จะดีขึ้นตลอด และประคองไปจนถึงวันลงคะแนนหรือไม่ เป็นประเด็นน่าสนใจ น่าสนใจกับคำประกาศเจตนารมย์ของน้ำ “ไม่ซื้อเสียง-ไม่มีหัวคะแนน” คำประกาศเจตนารมย์นี้ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่สะท้อนสภาพการเมืองการเลือกตั้งในปัจจุบัน การเมืองที่มีคนบอกว่า “เงินไม่มาหาไม่เป็น” และเงินมาก็ต้องผ่านโครงข่ายหัวคะแนน แต่ถือเป็นความกล้าหาญกับคำประกาศเจตนารมย์ที่สวนกระแสการเมืองในปัจจุบัน

ถ้าเลือกตั้งวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆนานา เชื่อว่า “เจ้ต้อย” ยังเดินเข้าวินอยู่ ชาวบ้านร้านน้ำชา เขาบอกว่าเจ้ต้อยอ้อร้อดี ใกล้ชิดชาวบ้าน ไปทุกงาน บ้านๆดี โอกาสเข้าวินสูง “เสียงจากร้านน้ำชานะ แต่ถ้ากระแสโซเชี่ยลน้ำกระแสดี” กระแสดีจะทำอย่างไรให้เป็นคะแนน ไม่ใช่ดีอยู่ในโซเชี่ยล งานนี้คงต้องฝากไปยังทีมยุทธศาสตร์ที่ต้องคิดกันให้จงหนัก

งานนี้ใครจะแพ้จะชนะวัดกันด้วยกระสุนดินดำและทีมยุทธศาสตร์แล้วแหละ…ชัยชนะจะต้องมาจาก 4 ก.คือ กล้า กระสัน กระแส และกระสุน