‘ทรงฤทธิ์ โพนเงิน’:ข้อมูลว่าด้วยการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา

ข้อมูลว่าด้วยการปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชา โดยอาจารย์ทรงฤทธิ์ โพนเงิน

1. การกำหนดเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ประเทศไทยได้ทำอนุสัญญาสยาม-อินโดจีนฝรั่งเศส ฉบับวันที่ 13 ก.พ. 1904 โดยสยามสละดินแดนประเทศราช ไซยะบุลี จำปาศักดิ์และเมืองมโนไพรและให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการผสมสยาม-อินโดจีนเพื่อกำหนดหรือปักปันเขตแดน โดยใช้ ‘สันปันน้ำ’ ในการแบ่งเขตแดน ซึ่งมีประธานฝ่ายสยามคือ พลตรีหม่อมชาติเดชอุดม และฝ่ายฝรั่งเศส คือ พันเอกแบร์นาร์ด

ต่อมีในปี 1907 ได้เกิดสนธิสัญญาใหญ่ ซึ่งมีสาระสำคัญคือการที่สยามแลกเปลี่ยนดินแดนระหว่างเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ กับจังหวัดจันทบุรีและเมืองตราด ผลจากการแลกเปลี่ยนดินแดน ได้นำมาสู่การจัดตั้งคณะปักปันเขตแดนผสมฝรั่งเศสกับสยาม โดยมีพลเอกพระองค์เจ้าบวรเดช เป็นประธานฝ่ายสยาม กับ มองกีแยร์ ประธานฝ่ายฝรั่งเศส อัน
นำมาสู่การจัดทำแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งมีทั้งหมด 11 ระวางด้วย คือ ระวางเหนือ(North Region) จำนวน 5 ระวาง และ ระวางใต้ (South Region) จำนวน 6 ระวาง (แต่หลัง จากไทยแลกเปลี่ยนดินแดนกับฝรั่งเศสเมื่อปี 1907 ทำให้มีการยกเลิก 3 ระวางในภูมิภาคใต้ ได้แก่ พนมกุเลน, ทะเลสาบ และ เมืองตราด
ทั้งนี้ การจัดทำแผนที่ 1:200,000 มีจุดมุ่งหมายเพื่อบอกตำแหน่งของแนว ‘สันปันน้ำ’ ว่าอยู่ตรงไหน? และ อย่างไร? เท่านั้น

2. ในระหว่างปี 1908-1909 คณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้มีการเริ่มเดินสำรวจปักปันเขตแดน หรือการปักหมุดเขตแดน (Demarcation) ตรงสันปันน้ำจำนวน 73 หลัก โดยทำสัญลักษณ์บากไว้ที่ต้นไม้ โดยแบ่งเป็นหลักใหญ่ 73 หลักและหลักย่อย 2 หลัก และได้จัดทำเอกสาร “บันทึกวาจาหลักเขต” (เขียนบรรยายว่าหลักเขตอยู่ตรงไหน) และมี “แผนผังภูมิประเทศ
โดยสังเขป” แนบท้าย เพื่อแสดงตำแหน่งของเครื่องหมายแสดงหลักเขตแดนด้วย
ต่อมาในช่วงปี 1919-1920 คณะปักปันเขตแดนผสมฝรั่งเศสกับสยาม ได้จัดทำหลักเขตแดนถาวรทำเป็นหมุดซีเมนต์ 73 หลักและได้จัดทำเอกสาร “บันทึกวาจาหลักเขต” และ“แผนผังของแต่ละหมุด” ด้วย

3. เขตแดนไทย-กัมพูชา ยาว 798 กม. มีการปักปันเขตแดน 603 กม. จำนวน 73 หลัก โดยหลักเขตที่ 1 อยู่ที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ และ หลักเขตที่ 73 อยู่ที่หมู่บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ส่วนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ปักหลักเขต คือ จากช่องสะงำ ขึ้นไปถึงช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ยาว 195 กม. ที่เส้นเขตแดนเป็นสันปันน้ำบนเทือกเขาพนมดงรัก

4. ปี 1997 รัฐบาลไทยกับกัมพูชามีความเห็นว่าไม่ต้องการให้ข้อพิพาทด้านเขตแดนนี้เป็นประเด็นทางการเมือง หากเป็นปัญหาด้านกฎหมายและเทคนิค ที่ต้องใช้กฎหมายระหว่างประเทศในการพิจารณา ประกอบกับมีข้อกังวลว่าหลักเขตเดิม 73 หลักอาจจะไม่ละเอียดเพียงพอ และต้องทำการสำรวจให้เขตแดนมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น จึงเป็นที่มาของแถลงการณ์จัดตั้ง “คณะกรรมาธิการร่วมจัดทำหลักเขตแดนสำหรับเขตแดนทางบก” และมีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ และประชุมร่วมครั้งแรกในปี 1999

5. รัฐบาลไทยและกัมพูชา ได้มีการจัดทำบันทึกข้อตกลงร่วมระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการจัดทำเขตแดน (MOU-2000) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการจัดตั้งและมอบอำนาจให้คณะ กรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ปักปันหลักเขตแดน กำหนดหลักการในการดำเนินการปักปันหลักเขตแดนให้เป็นไปตามอนุสัญญา 1904 และสนธิสัญญา 1907 และความเห็นตามคณะกรรมการร่วมฯในปี 1904 และปี 1907 ทั้งนี้ได้ตั้งคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมฯ (JBC) และคณะอนุกรรมการด้านเทคนิค (JTSC)

สำหรับ JBC ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการ 2 ชุด คือ ฝั่งไทยและกัมพูชา ฝ่ายละ 1 คณะโดยบทบาทหน้าที่คือการปักปันเขตแดนร่วมกันของ 2 ประเทศและเมื่อปักปันเสร็จแล้วคณะกรรมาธิการ JBC เอามาอ้างอิงเพื่อจัดทำเป็นแผนที่แสดงเส้นเขตแดน

คณะกรรมการชุดที่ 2 คือ คณะอนุกรรมการเทคนิคร่วม หรือ JTSC (Thailand-Cambodia Joint Technical Sub-Committee) ซึ่งเป็นเหมือนผู้ช่วยของ JBC โดยสมาชิกประกอบด้วยผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในการสำรวจประเทศและการจัดทำแผนที่ โดยสมาชิกจะเดินลงพื้นที่สำรวจภูมิประเทศดูว่าหลักหมุดทั้ง 73 หลักอยู่ตรงไหน? สภาพเป็นอย่างไร?และเมื่อสำรวจเสร็จแล้วจะส่งให้ JBC เพื่อจัดทำแผนที่ต่อไป

6. ทั้งนี้ เพื่อกำหนดกรอบการปักปันเขตแดนให้ชัดเจน ในปี 2003 รัฐบาลไทย-กัมพูชา มีการจัดทำขอบเขตของงาน (Terms of Reference—TOR) เสมือนเป็นแผนแม่บทของการจัดทำเขตแดนและเป็นกรอบการดำเนินการสำหรับ JBC และ JTSC โดยเป็นการกำหนดกรอบการทำงาน ซึ่งแบ่งเป็น 5 ขั้นตอน คือหาตำแหน่งหลักเขตแดนในอดีตที่ทำเอาไว้ในปี 1909 และปี 1919-1920 พอทราบตำแหน่งของหลักเขตแดนทั้ง 73 หลักแล้ว ก็ให้จัดทำ
ภาพถ่ายทางอากาศ จัดทำแผนที่เพื่อลงสำรวจพื้นที่ วางแผนแนวเขตที่เดินสำรวจ ส่งคณะลงพื้นที่ภูมิประเทศจริง สร้างหลักเขตแดนใหม่ให้ถี่หรือละเอียดมากขึ้น เพื่อให้หลักเขตแดนถูกต้องและชัดเจน ครั้นเมื่อปักหมุดลงไปแล้ว JTSC จะนำมาพล็อตเส้นลงบนแผนที่และส่งต่อให้ JBC เพื่อจัดทำเป็นแผนที่ฉบับใหม่

7. การแถลงข่าวของ JBC ฝ่ายไทย เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2025 โดยท่านประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ยืนยันว่าในประเด็นการดำเนินงานด้านเทคนิคภายใต้กรอบกลไก JBC ที่นำไปสู่
ความคืบหน้าสำคัญ ได้แก่
(1) รับรองผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Technical Sub-Committee (JTSC)) ครั้งที่ 4 (14 กรกฎาคม 2567) ณ เมืองเสียมราฐ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันต่อตำแหน่งที่ตั้งของหลักเขตถึง 45 หลัก และเห็นชอบให้นำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อความรวดเร็วในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน
(2) เห็นชอบให้มีการแก้ไขแผนแม่บทว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2546 (TOR 2003) เพื่อนำเทคโนโลยี LiDAR มาใช้ในการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศ
(3) เห็นชอบการส่งชุดสำรวจร่วมไปลงสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ระหว่างหลักเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นตรงกันในพื้นที่ที่ใช้ลำน้ำ หรือเส้นตรงเป็นเส้นเขตแดน โดยมอบหมายให้ JTSC ไปหารือและจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิค (Technical Instruction: TI) ร่วมกันต่อไป
(4) เห็นชอบให้มีการจัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6 (จากเขาสัตตะโสม จนถึงหลักเขตแดนที่ 1 ช่องสะงำ จังหวัดศรีสะเกษ) ซึ่งเป็นประเด็นคงค้างมาตั้งแต่ปี 2554 โดยมอบหมาย JTSC จัดทำข้อกำหนดทางเทคนิคการเดินสำรวจไปพร้อมๆ กับการจัดทำแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อเสนอต่อ JBC ต่อไป

8. แผนที่ 1:50,000 มายังไง? และมีผลในกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่?
นอกจากแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นมรดกจากยุคสมัยจักรวรรดินิยมยุโรป เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว แต่ว่ายังมีแผนที่อื่นๆที่ใช้แบ่งเขตแดนของไทย-กัมพูชาที่ฝั่งประเทศไทยใช้ นั่นคือ แผนที่ L7018 มาตราส่วน 1:50,000 ที่จัดทำโดยกรมแผนที่ทหารของไทย ซึ่งเป็นการปรับมาจากแผนที่ของสหรัฐฯ ช่วงยุคสงครามเย็น อันประกอบด้วย
แผนที่ L7014 เป็นแผนที่เวียดนามทั้งประเทศ, แผนที่ L7015 เป็นแผนที่ลาวทั้งประเทศ แผนที่ L7016 เป็นแผนที่กัมพูชาทั้งประเทศ และ L7017 เป็นแผนที่ไทยทั้งประเทศ

ครั้นเมื่อเทคโนโลยีการทำแผนที่ดีขึ้น ประเทศไทยก็เอาแผนที่ L7017 ซึ่งสหรัฐฯ ทำไว้ในช่วงปี 1971-1974 มาปรับปรุงเป็น L7018 และไทยเราก็ได้ใช้แผนที่ L7018 นี้เรื่อยมา ส่วนแผนที่ 1:200,000 มีจุดมุ่งหมายเพื่อบอกตำแหน่งของ แนวสันปันน้ำ ว่าอยู่ตรงไหน?และ อย่างไร? เท่านั้น ทั้งยังจะไม่ทำให้ไทยเสียเปรียบกัมพูชาในกรณีปราสาทตาเมือนธม และ ปราสาทตาเมือนโต๊ดอีกด้วย เนื่องจากแผนที่ไม่มีการระบุสัญลักษณ์ของปราสาททั้งสองไว้แต่อย่างใด ซึ่งก็จะต้องไปว่ากันในเรื่องของ “เส้นสันปันน้ำ” ที่เป็นความรับผิดของ JBC และ JTSC ระหว่างไทย-กัมพูชาต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีเอกสารอื่นๆอีก เช่น “บันทึกวาจาหลักเขต” ที่จัดทำขึ้นเมื่อปี 1908 ซึ่งมีคำบรรยายว่าหลักเขตแต่ละหลักเขตอยู่ตรงจุดใดบ้าง โดยทุกหลักจะมีบันทึกทำเป็น 2 ภาษาคือภาษาไทยกับฝรั่งเศส และมีการจัดทำแผนผังรายหลักเขต ซึ่งเป็นมาตราส่วนที่ละเอียดกว่า 1:200,000 เช่น มาตราส่วน 1:1,000 – 1:2,000 – 1:4,000 และ 1:10,000 เป็นต้น

9. ไทยเป็นภาคีศาลโลก ไม่เท่ากับยอมรับอำนาจศาลโลก
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เป็นองค์กรตุลาการของ UN เพื่อระงับข้อพิพาทตามกฎบัตรของสหประชาชาติ ข้อ 92 ตั้งอยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

แม้ว่าตามกฎบัตรของสหประชาชาติที่ว่ารัฐสมาชิกสหประชาชาติทุกรัฐเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลก ดังนั้น จึงทำให้ประเทศไทยเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลกเช่นกัน แต่ว่าก็ไม่เกี่ยวกับการยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก เพราะขอบเขตอำนาจศาลโลกจะพิจารณาคดีใดได้นั้นต้องได้รับความยินยอมจากรัฐต่างๆ เพราะรัฐทุกรัฐมีอำนาจอธิปไตยและไม่มีใครอยากให้คนนอกมามีอำนาจตัดสินใจหรือแทรกแซงกิจการภายในของตน ด้วยเหตุนี้ การใช้กลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหาเขตแดน จึงเป็นวิธีการที่ดีกว่าไปฟ้องศาลโลก

10. การยกเลิกการใช้กลไก JBC จะเป็นการเปิดช่องให้กัมพูชาใช้กลไกอื่นๆ และไทยเองก็ต้องไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก เพราะว่ามีบทเรียนจากคดีปราสาทพระวิหารแล้ว ทั้งยังได้สร้างความเกลียดชังระหว่าง 2 ชาติและได้สร้างปัญหาอื่นๆตามมาอีกด้วย

นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าจะมีการนำเรื่องข้อพิพาทเขตแดน 3 ปราสาท และ 1 พื้นที่สามเหลี่ยมมรกตเข้าสู่ศาลโลกก็ตาม แผนที่มาตราส่วน 1:200,000 จะไม่ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเนื่องจากแผนที่ไม่มีการระบุสัญลักษณ์ของปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาเมือนโต๊ดซึ่งก็ต้องไปสู้กันที่เรื่องของสันปันน้ำอยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ในกรณีของปราสาท 3 แห่ง แม้ว่าไม่ปรากฏสัญลักษณ์บนแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 ที่คณะกรรมาธิการร่วมจัดทำขึ้นมา แต่พบว่ายังมีเอกสาร “บันทึกวาจาหลักเขต” จัดทำเมื่อปี 1908 ซึ่งจะมีคำบรรยายว่าหลักเขตแต่ละหลักเขตอยู่ตรงจุดใดบ้าง โดยทุกหลักจะมีบันทึกทำเป็น 2 ภาษา คือภาษาไทย และฝรั่งเศส และมีการจัดทำแผนผังรายหลักเขตที่เป็นมาตราส่วนที่ละเอียดกว่า 1:200,000 กล่าวคือโดยใช้มาตราส่วน 1:1,000, 1:2,000, 1:4,000 และ 1:10,000 เป็นต้น

11. หมายความว่าการดำเนินตาม MOU-2000 นอกจากจะเป็นการผูกมัดกัมพูชาแล้วยังจะได้เขตแดนที่ชัดเจนแน่นอนอีกด้วย ทั้งยังไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบ เพราะว่าการดำเนิน งานของ JBC เป็นแบบทวิภาคีที่ต้องเห็นชอบร่วมกันทั้งสองฝ่ายในทุกปัญหา!!
#ปล.ยกเลิก MOU-2001 ครับ!!!