ทีมแพทย์ที่ร่วมชันสูตรศพ ประกอบด้วย ผศ.นพ.ธนะรัตน์ บุญเรือง ผอ.รพ.สงขลานครินทร์, นพ.วิระชัย สมัย หัวหน้าหน่วยนิติเวช ม.สงขลานครินทร์ และ นพ.กิตติศักดิ์ ศรีพงษ์ นิติแพทย์ในฐานะหัวหน้าชุดชันสูตร ร่วมกันแถลงผลการ มีรายละเอียดว่า ได้ตรวจชันสูตรศพนายอับดุลลายิ ดอเลาะ หลังจากที่ได้รับศพ พบอยู่ในสภาพไม่สวมเสื้อ สวมผ้าโสร่ง มือทั้งสองข้างมีถุงพลาสติกครอบไว้มัดด้วยเทปสีแดงระบุว่าวัตถุพยาน จากการตรวจสอบภายนอกพบจุดเลือดที่เยื่อบุตาทั้งสองข้าง ริมฝีปากมีสีเขียว มีคราบน้ำสีขาวบริเวณถุงอัณฑะ พบบาดแผลบริเวณข้อศอกขวาเพียงแผลเดียว ญาติผู้ตายไม่อนุญาตให้ผ่าศพ แพทย์จึงได้เพียงตรวจชันสูตรจากภายนอก ตรวจภาพถ่ายรังสี เจาะเลือด เจาะน้ำในลูกตา และเจาะปัสสาวะตรวจหาสารพิษ ซึ่งผลจากการตรวจภาพถ่ายรังสีไม่พบร่องรอยการได้รับบาดเจ็บใดๆ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการไม่พบสารเสพติดหรือสารพิษใดๆ ทีมแพทย์จึงสรุปสาเหตุว่าไม่ทราบสาเหตุการตาย
“จากการตรวจสอบศพ ไม่พบการป่วยเป็นโรคใดๆ ส่วนบาดแผลที่พบภายนอกไม่สัมพันธ์กับร่องรอยบาดเจ็บภายใน สิ่งที่สามารถยืนยันได้คือผู้ตายได้เสียชีวิตในเวลา 2.30 – 4.30 น. ของวันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งทีมแพทย์ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้มากกว่านี้แล้วเพราะเป็นข้อมูลส่วนตัวของผู้ตาย และยืนยันว่าไม่พบหลักฐานหรือร่องรอยการถูกทำร้ายร่างกายและรอยบาดแผลใดๆจึงทำให้ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้” นพ.กิตติศักดิ์ สมัย หัวหน้าทีมแพทย์ชุดชันสูตรศพ กล่าว
การระบุว่า “ไม่ทราบสาเหตุการตาย” แม้ฝ่ายจังหวัด ทหาร จะเห็นว่า เป็นผลการชันสูตรที่สร้างความกระจ่างชัดเจน แต่ในความรู้สึกของชาวบ้านกลับเห็นตรงกันข้ามว่า เป็นการตายที่คลุมเครือ และโทษไปยังบางฝ่าย แต่การตรวจสอบยุติเพียงเท่านี้ ไม่อาจหาคำตอบได้มากกว่านี้ ความเคลือบแคลงสงสัยจึงจะยังติดอยู่ในความรู้สึกของชาวบ้านอีกนาน
ส่วนกรณีการระเบิดกุโบว์ เหตุเกิดเมื่อ 13 ธ.ค.2558 เวลาประมาณ 06.50 น. ที่กุโบว์บ้านบ่อเจ็ดลูก ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา แรงระเบิดส่งผลให้ผู้เสียชีวิต 1 คน และบาดเจ็บ 1 คน คนเสียชีวิตเป็นอาสาสมัครทหารพราน คือ อส.ทพ.ชัยค์ เจ๊ะดอมะ ส่วนอีกคนนายอาซิ เจ๊ะดอมะ เป็นพ่อทหารอาสาสมัครทหารพราน
เหตุเกิดขณะที่พ่อลูก 2 คน เข้าไปทำพิธีทางศาสนาที่กูโบร์ให้กับคนมารดาของทหารพรานที่เสียชีวิตเมื่อ 10 ธ.ค.58 ผู้ก่อเหตุได้วางระเบิดไว้ในหลุมศพของมารดาอาสาสมัครทหารพราน โดย อส.ทพ.ซัยค์ ได้ไปยืนอ่านกุรอ่านเหนือหลุมฝังศพ ส่วนนายอาซิ นั่งอยู่ที่ศาลาใกล้ๆ กัน ทันใดนั้น เสียงระเบิดก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แรงระเบิดฉีกร่าง อส.ทพ.ซัยค์ เสียชีวิตในทันที ส่วน นายอาซิ หูอื้อบาดเจ็บเล็กน้อย แรงระเบิดยังทำให้ศพผู้เป็นมารดาที่เสียชีวิตมาแล้ว 3 วัน กระเด็นลอยขึ้นมาจากหลุม เป็นที่อนาถใจผู้พบเห็น
การระเบิดในกุโบว์เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และนับเป็นการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อบาปที่กระทำในสถานที่สำคัญทางศาสนา ทำลายศพ ซึ่งเป็นข้อห้ามทางศาสนา ผู้กระทำเหมือนไม่มีความรู้ทางศาสนาเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นระเบิดที่สร้างความรู้สึกสะเทือนใจให้กับญาติพี่น้องและชาวบ้านใน 3 จังหวัดชายแดนอย่างรุนแรง
หลังเกิดเหตุมีเพียงองค์กรสตรี และองค์กรนักศึกษาออกมาประณามเหตุรุนแรงในสถานที่ทาวศาสนา ในขณะที่องค์กรทางศาสนาไม่ว่า คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด หรือคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย กลับนิ่งเฉย เป็นเสมือนองค์กรที่ตายแล้ว ไม่รู้สึกรู้สากับเหตุที่เกิดขึ้น หรือมัวแต่แสวงหาอำนาจและผลประโยชน์กับการหนุนโรงไฟฟ้าถ่านหินกับขอโควต้าส.ว.ก็ไม่รู้ และมีเพียงทางจังหวัดที่ออกมารณรงค์ไม่เอาความรุนแรงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสายตาชาวบ้านสันนิษฐานไปในหลายทิศทาง บ้างก็มองว่า เป็นกลุ่มขบวนการที่ต้องการทำลายฝ่ายสนับสนุนอำนาจรัฐ หรือคนที่ทำงานให้ฝ่ายรัฐ แต่ก็มีเสียงแย้งว่า ถ้าเป็นขบวนการก็ต้องเป็นมุสลิม แล้วมุสลิมจะกล้าทำบาปถึงกับวางระเบิดในกุโบว์เลยหรือ ในขณะที่บางฝ่ายก็มองว่า อาจจะเป็นฝีมือของกลุ่มก่อความรุนแรงอื่น เพราะพื้นที่ภาคใต้ค่อนข้างสลับซับซ้อน การก่อเหตุแต่ละครั้งยากจะสันณิษฐานได้ชัดเจนนักลายเป็นอีกกรณีหนึ่งที่ ความสงสัยค้างคาใจชาวบ้าน 3 จังหวัด และยากที่จะหาคำตอบได้
การวางระเบิดไว้ในหลุมศพเป็นการละเมิดศพและดูหมิ่นศาสนา เป็นการกระทำที่ชั่วร้าย และกระทบต่อจิตใจของผู้สูญเสียเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ผู้ที่ถูกกระทำ เป็นผู้ที่ไม่พร้อมที่จะต่อสู้ ไม่มีปืน ไม่มีอาวุธ อยู่ในสถานที่อันควรจะสงบและปลอดภัย ไม่ว่าจะยกเอาหลักใดมา ก็นับว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหลักสิทธิมนุษยชนและหลักศาสนา
เราขอเรียกร้องให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนการวางระเบิดในพื้นที่ทางศาสนา ซึ่งควรจะเป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้
หมายเหตุ : จากนิตยสาร MTODAY ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2558