ร้านบากุส ณ หอนาฬิกา จ.ปัตตานี ดูเผินๆ หลายคนอาจคิดว่า นี่คือร้าน KFC แต่ไม่ใช่ นี่คือไก่ทอด บากุส (BAGUS) แห่งปัตตานี เป็นร้านไก่ทอดและอาหารฝรั่งฮาลาล ซึ่งเปิดมากว่า 4 ปีแล้ว เป็นร้านไก่ทอดชื่อดังที่ทำให้คนจากนราธิวาสและยะลา ถึงขั้นมาขับรถมาปัตตานีเพื่อมากินไก่บากุส
“มันเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม เมื่อเราตายไป เราจะโดนพระเจ้าสอบถาม เราจะตอบได้ว่า เราได้ทำเพื่อสังคมแล้ว” มูฮำหมัดกล่าวร้านบากุสไม่ได้มีแต่ไก่ทอดแบบต่างๆ อย่างเดียวแต่ยังมีอาหารฝรั่งหลากหลายอย่าง เช่น สเต๊ก สปาเก๊ตตี้ อีกด้วยต่อมาทั้งคู่ได้เซ้งตึกสามชั้นเปิดเป็นร้านในปัจจุบัน เนื่องจากร้านเดิมมีลูกค้าจำนวนมากจนที่นั่งไม่พอโรฮาณีย์บอกว่า ตอนนี้ร้านขายดีมาก และยิ่งขายดีในช่วงเทศกาล เช่น ก่อนเดือนรอมฎอน ช่วงปีใหม่ และวันเด็ก ทำให้พนักงานกว่า 30 คนต้องทำงานอย่างหนัก เพราะลูกค้าแน่นจนต้องรอคิวมากกว่าสิบคิว และขายไก่ได้ถึงเกือบ 280 กิโลกรัมต่อวัน ส่วนวันธรรมดาก็ประมาณ 100 กิโลกรัมต่อวันผู้เขียนได้ลองชิมไก่ทอดและไก่ป๊อปสไปซี่ ความกรอบและนุ่ม รวมทั้งรสชาดดีทีเดียว ไม่แปลกใจว่าทำไมร้านจึงได้รับความนิยมมากเช่นนี้
จุดที่ทำให้ร้านบากุสได้รับความนิยม เพราะความไว้วางใจในกระบวนการทำอาหารที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด และการปรับความสากลให้เป็นท้องถิ่นได้อย่างลงตัว
“เราพยายามโชว์ความเป็นท้องถิ่น เขียนชื่อร้านด้วยอักษรยาวีควบคู่กับภาษาอังกฤษ ทำให้ลูกค้าคนมลายูรู้สึกคุ้นเคย รู้สึกเป็นร้านของเขาเอง” โรฮาณีย์กล่าวโรฮาณีย์บอกว่ามีคนมาติดต่อขอซื้อแฟรนไชส์ แต่ปฏิเสธ เพราะเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้อย่างทั่วถึง
“เรายังไม่ขายแฟรนชายส์ไก่บากุส เพราะเรายึดหลักอมานะห์ในศาสนาอิสลาม เพราะถ้าเราขายแฟรนชายส์ไปแล้ว เราก็ต้องดูแลผู้ที่ซื้อแฟรนชายส์อย่างดีที่สุด ถ้าดูแลไม่ดีก็จะผิดหลักการข้อนี้ ก็จะเป็นบาป” อาจารย์ มอ.ปัตตานี วัย 30 ปีกล่าว ส่วน
“การทำร้านอาหารของเรา คือภารกิจในการเพิ่มทางเลือกการกินให้คนมุสลิม เราทำร้านไก่ทอดแล้วก็ไปทำร้านอย่างอื่นที่สังคมมุสลิมยังขาดอยู่” มูฮาหมัดบอกกับผู้เขียนสำหรับร้านซูชิ ซึ่งเป็นอาหารญี่ปุ่นแต่ฮาลาลของทั้งคู่นั้น ได้เปิดไปแล้วที่ห้างเทสโก้โลตัส อ.จะนะ จ.สงขลา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ใช้ชื่อร้านว่า บากุชิ (Bagushi) ก็ได้รับการตอบรับดีมากเช่นกัน
มูฮาหมัดบอกว่า เขามองหาไอเดียในการทำร้านอาหารเพื่อชาวมุสลิมสามจังหวัดอยู่ตลอดเวลา ทั้งคู่เดินทางไปกรุงเทพฯ เพื่อไปดูต้นแบบร้านอาหารยอดนิยมตามห้างสรรพสินค้า เช่น พิซซ่าฮัท สตาร์บัค ชาบูชิ ยาโยอิ ซิสเลอร์ แต่ร้านเหล่านี้ไม่ฮาลาล จึงสั่งเครื่องดื่มเท่านั้น แล้วไปลองหาชิมดูที่มาเลเซีย
“ตลาดอาหารฮาลาลนั้นใหญ่มหาศาล แต่มีร้านอาหารฮาลาลน้อยมาก คนมุสลิมส่วนใหญ่อยู่ปลายน้ำของตลาด คือ เป็นคนเปิดร้านอาหาร ส่วนต้นน้ำคือวัตถุดิบกลางน้ำคือการทำเครื่องปรุงรสอาหาร” ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองหาทางทำแบรนด์วัตถุดิบและเครื่องปรุงรสฮาลาลด้วย เช่นซอสอาหารญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งจะเป็นช่องทางให้ผู้ประกอบการร้านอาหารมุสลิมเอาไปทำอาหารฮาลาลได้อย่างสะดวกและสบายใจ
หมายเหตุ : จากนิตยสาร MTODAY ฉบับประจำเดือนตุลาคม 2558