ย้อนตำนาน”ไม้ล้างป่าช้า” ลวงโลก กองทัพเสียค่าโง่ซ้ำซาก ยังไม่เข็ด

115

ประเทศไทยต้อง “เสียค่าโง่” ไปหนแล้วหนเล่า กับการถูกบริษัทฝรั่งต้มตุ๋นหลอกขาย “ไม้ล้างป่าช้า” ที่อ้างเป็น “เครื่องตรวจวัตถุระเบิด” GT200 เครื่องละเป็น “ล้านบาท” ทั้งๆ ที่เป็นแค่ “ของเล่นเด็ก” ต้นทุนจริงๆ แค่ 300-350 บาทเท่านั้น

กลายเป็น “มหกรรมลวงโลก” ต้มตุ๋นประชาชนคนไทย และหน่วยงานราชการไทยชนิด “อายแทบแทรกแผ่นดิน” เพราะหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะหน่วยงานด้านความมั่นคง อย่างกองทัพและกระทรวงกลาโหม มีการจัดซื้อไม้ล้างป่าช้าที่ว่านี้ไปร่วม 1,400 เครื่อง ผลาญงบประมาณและภาษีประชาชนไปร่วม 1,200 ล้านบาท!

กลายเป็นความเสียหายที่จนป่านนี้ยังจับมือใครดมไม่ได้ !

แม้จะมีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถึงพริกถึงขิง แต่ผ่านมาเกือบ 10 ปี กรณีจัดซื้อเครื่องลวงโลกอื้อฉาวที่ว่า กลับไม่มีความคืบหน้าและทำท่าจะหายเข้ากลีบเมฆ หน่วยงานตรวจสอบส่อจะถอดใจไปแล้ว ด้วยข้ออ้าง เป็นเรื่องของความเชื่อทางไสยศาสตร์ที่ยากจะพิสูจน์หรือตรวจสอบได้

เรื่องเงียบหายไปนับ 10 ปีจนผู้คนเข้าใจว่าทางการไทยคงจะไล่เบี้ยหาคนผิดมาลงโทษ หาผู้รับผิดชอบในความเสียหายนับพันล้านบาทมาลงโทษได้แล้วที่ไหนได้ ไม่เพียงจะควานหาผู้รับผิดชอบมาลงโทษไม่ได้แล้ว วันนี้ “ไม้ล้างป่าช้า – GT200” ยังโผล่จากหลุมขึ้นมาหลอกหลอนประชาชนคนไทยอีกระลอก เมื่อกองทัพบกขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 7.57 ล้านบาท ว่าจ้าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มาตรวจสอบเครื่อง GT 200 ที่ว่านี้ ที่จัดเก็บอยู่ในคลังพัสดุ ด้วยสนนราคาค่าตรวจสอบสูงถึงเครื่องละ 10,000 บาท

ทำเอาทุกฝ่ายหูผึ่ง เกิดอะไรขึ้นกับกองทัพไทย เหตุใดจึงต้องผลาญงบประมาณไปถึง 7.5 ล้าน เพียงเพื่อจะตรวจสอบเครื่องเจ้ากรรมที่ว่านี้ ทั้งที่ทุกฝ่ายก็รู้อยู่เต็มอกว่า มันคือเครื่องลวงโลก

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร จำเป็นต้องย้อนรอยมหากาพย์ “ไม้ล้างป่าช้า GT200” ที่ว่านี้อีกครั้ง เพื่อที่ประชาชนคนไทยเจ้าของภาษีจะได้พิจารณาว่า กองทัพบกสมควรตั้งประมาณรายจ่ายไปเพื่อตรวจสอบเครื่องเจ้ากรรมที่ว่านี้หรือไม่ ??

โดยในปี พ.ศ. 2544 บริษัท โกลบอล เทคนิคัล จากอังกฤษ ได้เปิดตัว “เครื่องตรวจจับสสารวัตถุระเบิด” GT200 โดยตีปี๊บประสิทธิภาพของเครื่องเจ้ากรรมว่า สามารถตรวจจับวัตถุระเบิดไม่ว่าจะซุกซ่อนอยู่ตรงไหน

และไม่เพียงแค่ตรวจจับวัตถุระเบิดเท่านั้น ยังสามารถตรวจหายาเสพติดและของผิดกฎหมายใดๆ ด้วยระบบ “การ์ดไฮเทค” ที่บริษัทผลิตออกมาควบคู่อีกด้วย แค่ถอดเปลี่ยนการ์ดสุดไฮเทคที่ว่านี้ เครื่องเจ้ากรรมก็สามารถปรับเปลี่ยนเป้าหมายและวัตถุประสงค์ได้ครอบจักรวาล All in One

ด้วยสรรพคุณที่ผู้ผลิตตีปี๊บออกไปทั่วโลก ทำให้มีหลายประเทศทั่วโลกหลวมตัวซื้อเครื่องดังกล่าวไปใช้งานกัน รวมทั้งหน่วยงานราชการในไทย อาทิ กองทัพเรือ, กองทัพบก, สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พากับตบเท้าตั้งจัดจัดหาเครื่องเจ้ากรรมที่ว่ากันเป็นว่าเล่น เบ็ดเสร็จมีการนำเข้า GT200 และ Alpha 6 ที่มีคุณสมบัติระดับเดียวกันเพื่อมาใช้งาน รวมกว่า 1,398 เครื่อง คิดเป็นวงเงินกว่า 1,134 ล้านบาท

หลังหน่วยงานราชการของไทยตบเท้าจัดซื้อ GT200 มาได้ระยะหนึ่ง นักวิชาการและประชาชนเริ่มเกิดข้อสงสัย เพราะนึกไม่ออกเลยว่า เครื่องเจ้ากรรมที่ว่านี้ใช้หลักการทำงานอย่างไร ถึงได้มีประสิทธิภาพครอบจักรวาลแถมยังมีนวัตกรรมล้ำยุคชนิดที่ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่ก็ใข้งานได้ โดยอาศัยพลังงานจากผู้ใช้งาน เป็นตัวขับเคลื่อน

สิ่งที่ผู้คนกังขาและกังวลใจที่สุด ก็คือ หากเครื่อง GT200 เป็นวัตถุลวงโลก แล้วตำรวจ-ทหารชั้นผู้น้อย เอาไปใช้ตรวจจับระเบิดแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้วจะทำยังไง แถมยังมีจุดที่น่าเคลือบแคลงสงสัยเข้าไปอีก เพราะแม้จะเป็นเครื่องเดียวกัน แต่ราคาขายกลับแตกต่างกันลิบลับ อย่างกรมศุลกากร ซื้อมาเครื่องละ 420,000 บาท แต่กองทัพเรือซื้อ กลับต้องจ่ายเงินซื้อถึงเครื่องละ 1,200,000 บาท เป็นต้น

แม้นักวิชาการและสังคมเริ่มต้ังคำถามกับประสิทธิภาพของเครื่องเจ้ากรรม ทั้งยังมีเหตุการณ์ที่ชวนให้สงสัย เมื่อมีกรณีระเบิดเกิดขึ้นในจังหวัดนราธิวาส ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ใช้ GT200 ตรวจสอบวัตถุระเบิดที่บริเวณโรงแรมเมอร์ลิน โดยมีการตรวจอาคาร รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์อย่างละเอียด ซึ่งเครื่อง GT200 ก็ไม่ได้ชี้ว่า มีระเบิดอยู่ตรงไหน แต่สุดท้ายก็มีระเบิดเกิดขึ้นจริงๆ

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อผิดพลาด แต่กองทัพบกพยายามตอบโต้อย่างรุนแรง โดยยืนยันว่า เครื่อง GT200 นี้ สามารถตรวจจับได้จริง และเคยตรวจสอบสำเร็จมาแล้ว พร้อมกับดึง พญ. คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มาการันตีประสิทธิภาพการใช้งาน โดยกล่าวสนับสนุนกองทัพว่า ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ที่มีเครื่อง GT200 อยู่เช่นกัน

16 กุมภาพันธ์ 2553 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ทำการทดสอบเครื่องนี้ ด้วยการจำลองและใช้เครื่องนี้ตรวจหาวัตถุระเบิด ผลปรากฏว่า การทดสอบ 20 ครั้ง เครื่อง GT200 บอกตำแหน่งระเบิดที่ถูกต้องได้แค่ 4 ครั้งเท่านั้น หรือ คิดเป็น 20% ไม่ต่างอะไรจากการเดาสุ่ม ดังนั้น นายกฯ จึงสั่งให้ทุกหน่วยงานในประเทศ เลิกจัดซื้อ และเลิกใช้งาน GT200 และ Alpha 6 โดยทันที

รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธุ์ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาเปิดโปงว่าเครื่องตรวจหาสสารวัตถุระเบิดอะไรที่ว่านั้น โดยแกะเครื่อง GT200 ออกมาตรวจสอบก่อนฟังธงว่า “ลวงโลก” เพราะด้านในไม่มีอะไรเลย เป็นแค่พลาสติกธรรมดาๆ กับเสาอากาศ 1 อันเท่านั้น ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ทั้งสิ้น ต้นทุนจริงๆ อยู่ที่ไม่เกิน 300 บาทเท่านั้น แต่เอามาปั่นหลอกขายในราคาอันละเกือบล้านบาท

หลังจากประเทศไทยเลิกใช้ GT200 ไป 3 ปี ความจริงก็ปรากฏ ในปี 2556 รัฐบาลอังกฤษสั่งจำคุกแกรี่ โบลตัน เจ้าของบริษัทผลิต GT200 เป็นเวลา 7 ปีข้อหาต้มตุ๋น เช่นเดียวกับผู้ผลิต ADE-651 และ Alpha 6 ก็โดนรัฐบาลอังกฤษลงโทษฟ้องจำคุกพร้อมยึดทรัพย์ เช่นกัน

สำหรับประเทศไทย เมื่อความจริงเปิดเผยมา หน่วยงานราชการโดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงที่หลวมตัวตั้งงบจัดซื้อเครื่องดังกล่าวมาเป็นกุรุดนับพันเครื่องเข้าไปแล้ว ต่างเก็บงำเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไปตรวจสอบได้

แม้จะมีการร้องเรียนไปยังคณะกรรมการ ปปช. ให้เข้ามาตรวจสอบเรื่องนี้แต่ผ่านมาเกือบ 10 ปี ก็ยังไม่มีความคืบหน้า ทุกอย่างต่าง “หายเข้ากลีบเมฆ” ไปหมดจนกระทั่งปัจจุบัน

“ไม้ล้างป่าช้า” ปรากฏขึ้นมาเป็นประเด็นของผู้คนอีกครั้ง ในระหว่างการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยในส่วนของงบกระทรวงกลาโหม นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.จากพรรคก้าวไกล ได้อภิปรายเปิดโปงเรื่องที่กองทัพบกทำสัญญาจ้าง สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วงเงิน 5.57 ล้านบาท ไปตรวจสอบเครื่อง GT200 ที่เก็บอยู่ในกรุ จำนวน 757 เครื่อง ว่าเป็นเครื่องตรวจระเบิดเก๊ ใช่หรือไม่ โดยคิดค่าตรวจสอบราคา เครื่องละ 10,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก เพราะทุกคนรู้ว่า เครื่อง GT200 คืออุปกรณ์เก๊ ไม่มีอะไรมากกว่าพลาสติก แล้วทำไมต้องมาเสียเงินทองตรวจสอบกันอีกพร้อมกับตั้งคำถามกลางที่ประชุมสภาฯ ว่า “ทั้งโลกเขารู้กันหมดแล้ว ว่า GT200 เป็นเครื่องเก๊ เป็นแค่พลาสติกสีดำสองชิ้นประกบกันแค่นั้นเอง ถ้าอยากพิสูจน์ ก็แงะออกมาเองได้เลย ใช้เงินไม่ถึง 10 บาทด้วยซ้ำ แต่กองทัพบก กลับจ้างค่าตรวจสอบเครื่อง GT200 สูงถึงเครื่องละ 10,000 บาท เพื่ออะไร ทำไมต้องเสียเงินค่าตรวจสอบ GT200 ที่รู้แน่ๆ ว่าใช้การไม่ได้ และถูกเก็บอยู่ในกรุมาตั้งนานแล้ว”

อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “GT200 มันไม่มีน็อตครับ มันเป็นพลาสติก 2 อัน ประกบกันแก๊กเลยนะ อาจมีกาวนิดหน่อย คือประกบกันแล้วแงะออกด้วยมือยังได้เลยครับ … ฉะนั้นมันจบแล้ว มันไม่จำเป็นต้องไปไล่เอา 757 เครื่องที่อยู่ในกรุ ซึ่งจริงๆ ป่านนี้ควรจะทำลายทิ้งได้แล้ว หรือไปเข้าพิพิธภัณฑ์ของกองทัพหรือที่ไหนก็ได้ เอากลับมานั่งไล่ตรวจทีละเครื่อง เครื่องละ 1 หมื่นบาท คือต้องถามว่ากองทัพจะทำไปทำไม ใครๆ เขาก็รู้ทั้งโลกแล้วว่ามันใช้ไม่ได้ คือคุณยังเชื่ออยู่หรือ ว่ามันมีประสิทธิภาพอยู่ ถึงมาทดสอบอย่างนี้”

“นี่เป็นคำถามที่กระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องตอบ ว่าใช้เงิน 7.57 ล้านบาท ไปกับการตรวจสอบ GT200 ทำไม ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเลิกใช้ไปนานมากแล้ว และเจ้าของบริษัทที่อังกฤษก็โดนจำคุกข้อหาลวงโลกไปแล้ว แต่ที่ไทยเรายังนำวัตถุลวงโลก มาแปรเปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่ายใหม่ๆ ได้อีก”

คล้อยหลังการอภิปรายฯ พล.อ. คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม ได้ออกมาชี้แจงว่า สาเหตุที่ต้องตรวจสอบทั้ง 757 เครื่อง เพราะกองทัพบกได้ฟ้องค่าเสียหายจากบริษัทผู้ขาย และสำนักงานอัยการสูงสุดแนะนำว่า ควรทำการตรวจทั้งหมด 757 เครื่อง ส่วนเหตุผลที่ตั้งราคาค่าตรวจสูงถึงเครื่องละ 10,000 บาท เพราะทาง สวทช. เป็นคนตั้งราคามาให้ และกองทัพบกก็ได้กำหนดราคาตามที่ สวทช. เสนอมา

ถ้อยแถลงและคำชี้แจงของโฆษกกระทรวงกลาโหม ไม่เพียงจะไม่ช่วยสร้างความกระจ่างใดๆ ให้ผู้คนในสังคมแล้ว ยังทำให้ประชาชนคนไทยกังวลหนักขึ้นไปอีกว่า เหตุใด กระทรวงกลาโหมและกองทัพถึงต้องผลาญงบประมาณภาษีอีกนับล้านไปกลับการตรวจสอบเครื่องลวงโลกที่ว่านี้อีก ทั้งที่ทุกฝ่ายต่างก็รู้กันไปทั้งโลกแล้วว่ามันเป็นแค่ “ไม้ล้างป่าช้าลวงโลก” เท่านั้น และถึงขั้นที่นักวิชาการประกาศพร้อมจะแกะเครื่องเจ้ากรรมให้กับกองทัพฟรีๆ เสียด้วยซ้ำ

และถ้าจะว่าจะไป เอากันจริงๆ แค่เอานายพลในกองทัพที่มีกว่า 1,500 คน มาช่วยกันตรวจสอบก็ทำได้ ทำไมต้องผลาญภาษีไปตั้ง 7.5 ไปกับเรื่อง “อัปยศอดสู” ที่ว่านี้อีก!!!