‘ลี่ หยาง’ ชาบูน้องใหม่ที่กำลังมาแรง สาขาเดอะมอลล์ บางกะปิ ลูกค้าต้องเข้าแถวยาวเพื่อรอคิว แต่แล้วก็มีดร่ามา ว่า ลี่หยาง ไม่จ่ายเงินเดือนพนักงาน รวมกันเป็นล้านบาท และนี่เป็นการเปิดใจครั้งแรก ของ ‘แจ็คกี้ หว่อง’ เจ้าของลี่ หยางเป็นครั้งแรก ถึงความเป็นมาเป็นไปของ ดราม่าที่เกิดขึ้น
แจ็คกี้ หว่อง เจ้าของชาบู’ลี่ หยาง’ กล่าวว่า ส่วนตัวทำธุรกิจอื่นมาก่อน และมีความสนใจจะเปิดร้านอาหาร บังเอิญมาเจอร้านที่เดอะมอลล์ บางกะปิบอกจะให้เซ้ง จึงตกลงที่จะเซ้ง โดยบริหารร้านต่อจากเจ้าเดิม เปลี่ยนชื่อร้านเป็นลี่ หยาง
‘ผมไม่มีประสบการณ์ทำร้านอาหารมาก่อน จึงได้เจอกับบททดสอบมากมาย ตั้งแต่เปิดร้าน ร้านเดิมขอเปิดจนถึงสิ้นปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 รู้ไม๊ เขามอบร้านให้ผมตอนเที่ยงคืน และร้านก็ปิดไม่ได้จะถูกทางห้างปรับ แต่ผมก็ได้เตรียมการมาแล้ว นำพนักงานมาทำความสะอาดใช้น้ำดินทำความสะอาดทั้งหมด ทั้งภาชนะทุกอย่างต้องรีบทำให้ทันเวลาเปิดร้าน ซึ่งผมก็ทำทันเปิดร้าน ตอน 11 โมง’ แจ็คกี้ หว่อง หนุ่มจากเชียงราย กล่าวถึงบทสดสอบในการเปิดร้านลี่ หยาง

เจ้าของลี่ หยาง กล่าวว่า ตอนเปิดร้าน ขายบุฟเฟ่ต์ 199 บาท ก็มีคนทักท้วงว่า จะอยู่ได้หรือเพราะเป็นราคาที่ขาดทุน แต่ตนก็ยืนยันราคา 199 บาท โดยใช้วัตถุดิบอย่างดีหมด ทั้งผัก ทั้งเนื้อ วัตถุดิบทุกอย่าง ในช่วง 3-4 เดือนแรก เป็นช่วงที่ร้านขายดีมาก มีคนมาใช้บริการจนต้องเข้าแถวยาว แต่พอมาถึงเดือนที่ 5 เดอะมอลล์ได้มาทวง หนี้ค้างค่าเช่าจำนวน 3 ล้านบาท ตอนนั้นก็งง เพราะตอนทำสัญญากับผู้ทำสัญญาเดิมก็บอกเคลียร์หมดแล้ว แต่ผ่านมา4-5 เดือนเดออะมอลลช์มาทวงค่าเช่า ไม่เช่นนั้นก็ต้องปิดร้าน
‘ตอนนั้นใช้สัญญาเดิมกับที่เจ้าของเดิมทำไว้ เพราะถ้าจะเปลี่ยนสัญญา จะต้องเสียให้เดอะมอลล์ 700,000 บาท ก็จำใจต้องจ่ายหนี้ให้เดอะมอลล์ โดยทะยอยจ่ายทำให้การเงินของร้านชะงัก รวมทั้งตอนนั้น เข้าหน้าโลว์ คนเข้าน้อย ซึ่งทุกร้านก็ยอดตกหมด ยอดขายของผมก็ตกลง ตอนนั้น ก็คิดว่าจะปิดร้านหรือเดินหน้าต่อ ก็สงสารพนักงานอยากให้เขาทำงานต่อ แต่ก็คุยกันว่า จะทะยอยจ่ายให้แต่ละคน ตอนนั้นรับผู้จัดการคนใหม่เข้ามา เขาก็ขอหลักฐานเอกสารจากพนักงาน ตอนที่เข้ามาทำร้านไม่รู้ใครเป็นใคร ไม่มีหลักฐานอะไร และส่วนใหญ่เป็นต่างด้าว ผู้จัดการก็บอกว่า ถ้าไม่มีหลักฐานเกิดตำรวจมาจับต้องเสียค่าปรับ ต้องติดคุก พนักงานส่วนใหญ่ไม่นำเอกสารมาให้ซักที แต่เงินเดือนก็ทะยอยจ่ายตามที่ตกลงกัน แต่ก็มีหัวหน้างานคนหนึ่ง ไม่พอใจก็ไปแจ้งความ และก่อหวอดชวนพนักงานหยุดงานทั้งหมด ไม่มีใครมาทำงานเลย และไปให้ปรึกษากับทนายคนดัง ไปออกรายการ’ แจ็คกี่ กล่าว

เจ้าของลี่ หยาง กล่าวก็มีการไกล่เกลี่ยกัน มีทนายคนดังเข้ามาไกล่เกลี่ย และมีการสัมภาษณ์ออกรายการ ก็ตกลงจะทะยอยจ่าย และบอกว่า จะนำสิ่งที่ตนพูดไปออกอากาศ แต่ถึงเวลาออกอากาศ กลับมาที่ภาพด้านลบ สัมภาษณ์พนักงาน ที่ตนให้สัมภาษณ์ได้พูดไป ไม่ได้ออกเลย ที่ออกก็มีแต่ภาพลบ ตอนคุยกันทนายก็บอกว่าจะนำสิ่งที่ตนพูดไปออกอากาศให้คนเข้าใจ แต่ไม่ได้ออก
‘ผมก็ไม่ได้โทษทนาย อาจจมะจากการฝ่ายตัดต่อหรือโปรดิวเซอร์ที่คิดว่า หากเอาสิ่งที่ดีออกอากาศ เรทติ้งอาจไม่ดี เสนอแต่ภาพลบๆจะได้เรทติ้งดี ซึ่งหลายอย่างก็ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อย่างเรื่องเชื้อชาติก็ไม่ได้มีปัญหา พนักงานที่อยู่กับผม รายได้ 10,000 กว่าบาท บางคนทำงานดีผมขึ้นเงินให้เดือนละพัน มีที่ไหนขึ้นเดือนละพัน อยากช่วยพนักงาน แต่ก็ยอมรับว่า ผมเองก็ผิดด้วย แต่ก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ซึ่งเงินที่ค้างไม่ได้มีจำนวน1 ล้าน มีพนักงาน 400,000 บาท และหัวหน้า 100,000 บาทรวม 500,000 บาท อีก 2 เดือนก็จ่ายหมด ก็จะถอนแจ้งความ ผมก็จะถอนแจ้งความ’ เจ้าของร้านหมาล่าชื่อดัง ลี่ หยาง กล่าว

แจ็คกี้ หว่อง เกิดที่จ.เชียงรายในครอบครัวที่ผสมผสานหลายเชื้อชาติ ทั้งจีนฮ้อ อินเดีย มลายู แต่หน้าตาจะติดไปทางแม่ ออกเชื้อจีนมากกว่า ช่วยพ่อแม่ขายของในตลาดตั้งแต่เรียบนชั้นประถม สามารถเก็บเงินเปิดร้านให้เช่าการ์ตูนตั้งแต่เรียน ม.1 จนจบม.6 ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ด้วยการสอบโควต้าได้ที่ 1 ต้องขายร้านหนังสือการ์ตูนให้เช่า ระหว่างเรียนบริหาร มช.ก็ได้เปิดร้านคอมพิวเตอร์ และขยายกิจการใหญ่ในกาดสวนแก้วแต่เจอผลกระทบจากวิกฤติต้มยำกุ้ง ต้องปิดร้าน ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ เปิดบริษัททำซอร์ฟแวร์ให้บริษัทขายตรง ก่อนจะไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ แต่ก็ไปพัวพันกับมาเฟียจีน จนเข้าสู่วงการคาสิโน โดยดูแลการเงิน จนพ่อป่วย จึงได้กลับเมืองทำมาทำบริษัทเกี่ยวกับโชเชียล และการเงินอิสลาม ก่อนจะกระโจนเข้าสู่วงการร้านอาหาร
‘ตั้งแต่ทำธุรกิจมา ร้านอาหารยากที่สุด ถูกทดสอบมากที่สุด เพราะมีรายละเอียดเยอะมาก ตอนเด็กออกก็ต้องมาเสิร์ฟเอง เครื่องตัดเนื้อเสียก็ต้องวิ่งมาที่ร้าน มาลดราคาให้ลูกค้า อะไรงี้ มีหลายวุ่นวายไปหมด ผมถึงยอมรับเลยคนที่ทำร้านอาหารมา 10 ปี 20 ปี เก่งมากที่ฝ่าฟันมาได้ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้นะ มีปัญหาก็แก้ๆไป เงินขาดก็หยิบยืมคนรู้จัก ตอนนี้ก็มาเปิดสาขาที่ ซอยรามคำแหง 81/1 หากสาขาเดอะมอลล์มปัญหาจะได้มีร้านให้พนักงานทำงานต่อเนื่อง แต่อัลเลาะฮ์ก็เมตตา เดอะมอลล์ก็ทยอยจ่าย ตอนแรกจะเอาที่เดียวเป็นล้าน ก็คิดว่า คงจะต้องปิดร้าน แต่ผู้บริหารระดับสูงโทรมา ให้ทะยอยจ่ายก็ผ่านพ้นมาได้ สาขาที่เดอะมอลล์ ก็ยังอยู่ให้บริการต่อไป’





