หน้าแรก ในประเทศ เครือข่ายมุสลิมไทยยื่นหนังสือถึงยูเอ็น เรียกร้องแก้ปัญหาปาเลสไตน์อย่างเร่งด่วน

เครือข่ายมุสลิมไทยยื่นหนังสือถึงยูเอ็น เรียกร้องแก้ปัญหาปาเลสไตน์อย่างเร่งด่วน

363

วันนี้ (พุธ) ที่ 13 ธ.ค. 2560 เวลา 13.30 น. เครือข่ายองค์กรมุสลิมไทยและอีหม่ามจากมัสยิดทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมด้วยชาวไทยมุสลิมจำนวนหนึ่ง ได้เดินทางไปยังสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ((OHCHR) ที่อาคารสหประชาชาติประจำประเทศไทย ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ เพื่อไปยื่นหนังสือให้ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนบนพื้นฐานความยุติธรรมและคำนึงถึงสิทธิของชาวปาเลสไตน์ กรณีนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยมร.อีเมช พอคคาเรล (Imesh Pokharel) ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นผู้รับ โโดยมีผู้สื่อข่าวที่มารอทำข่าวทำนวนหนึ่ง

เครือข่ายมุสลิมไทย อาทิ “ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยิด” หรือ “ซัยยิดมุบาร๊อก ฮูซัยนี” นายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน เป็นตัวแทนเครือข่ายองค์กรมุสลิมไทยอ่านแถลงการณ์ประณามและคัดค้านการประกาศรับรองกรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล จากนั้นได้เข้าไปในอาคารสหประชาชาติ พร้อมด้วย “อิหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว” จากมัสยิดอาลียินนูรอยน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ “อิหม่ามเสถียร สุขสำราญ” จากมัสยิดกุฎีหลวง กรุงเทพฯ

(จากขวาไปซ้าย) “ดร.เลอพงษ์ ซาร์ยิด” หรือ “ซัยยิดมุบาร๊อก ฮูซัยนี” นายกสมาคมนักเรียนไทย-อิหร่าน, “อิหม่ามจักรกฤษ เส้นขาว” จากมัสยิดอาลียินนูรอยน์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และ “อิหม่ามเสถียร สุขสำราญ” จากมัสยิดกุฎีหลวง กรุงเทพฯ ยื่นหนังสือโดยมี มร.อีเมช พอคคาเรล (Imesh Pokharel) ผู้แทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เป็นผู้รับ

“หลังจากอิสราเอลยึดครองและผนวกเยรูซาเล็ม แล้วคลอดกฎหมายเองโดยกล่าวอ้างว่า เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้และเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเพียงผู้เดียวนั้น “ประชาคมนานาชาติปฏิเสธการผนวกดังกล่าวว่า ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และถือว่าเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองโดยอิสราเอล และไม่มีชาติใดรับรองว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล และนับแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 นครดังกล่าวไม่มีสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศใดประจำการอยู่” แถลงการณ์ระบุ

“เราในฐานะเครือข่ายองค์กรมุสลิมในประเทศไทย ขอประณาม และคัดค้านการตัดสินใจดังกล่าวของรัฐบาลไซออนิสต์โดยการนำของนายเบนจามิน เนทันยาฮู และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยการนำของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ในการรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล ซึ่งถือว่า เป็นการบิดเบือนประวัติศาสตร์และขโมยสิทธิของประชาชน ที่สำคัญคือ “เป็นการมอบให้ในสิ่งที่สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเจ้าของ ต่อผู้ที่ไม่มีสิทธิอย่างอิสราเอล”

แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ

1-ยุติบทบาทของสหรัฐในการแทรกแซงต่อประเด็นปาเสไตน์และยกเลิกการใช้อำนาจเพื่อกดขี่ประเทศอื่น

2-ขับไล่อิสราเอลออกจากแผ่นดินปาเลสไตน์

3-ประกาศให้กรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงที่ชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์

ในท้ายหนังสือ เครือข่ายองค์กรมุสลิมไทยแสดงความกังวลอย่างยิ่งว่า การประกาศรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล “จะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ที่ทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางและสังคมมุสลิมทั่วโลกลุกเป็นไฟ รวมทั้งเปิดช่องให้รัฐบาลอิสราเอลละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไป จึงขอให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้ติดตาม ตรวจ สอบ และเร่งแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนบนพื้นฐานของความยุติธรรมและคำนึงถึงสิทธิของชาวปาเลสไตน์”

สำหรับประเทศไทยนั้นแม้จะเมืองพุทธศาสนาแต่รัฐไทยก็ให้อิสระและสิทธิในการแสดงออกทางศาสนาต่อชนทุกกลุ่ม ที่ผ่านมาประชาชนมุสลิมไทยจึงมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับปาเลสไตน์มาโดยตลอด โดยเฉพาะการเดินประท้วงในวันอัลกุดส์สากลในศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอน รวมถึงในวาระอื่นๆ แต่หลังการรัฐประหารในปี 2557 ได้มีประกาศห้ามชุมนุมไม่ว่าในกรณีใดๆ จึงส่งผลกระทบต่อการแสดงพลังของชาวมุสลิม

ทั้งนี้หลังการรัฐประหารปี 2557 มุสลิมไทยได้พยายามเดินขบวนเพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ในวันอัลกุดส์สากลในศุกร์สุดท้ายของเดือนรอมฎอนมาแล้ว 2 ครั้ง จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัวผู้เดินขบวนไป 10 กว่าคนในครั้งที่ 2 เมื่อปี 2559 จึงทำให้กิจกรรมการชุมนุมและเดินขบวนต้องยุติลงมานับตั้งแต่นั้น และในเหตุการณ์วิกฤติครั้งนี้ที่มุสลิมทั่วโลกได้ออกมาเดินขบวนเพื่อแสดงพลังสนับสนุนปาเลสไตน์นั้นมุสลิมไทยจึงทำได้เพียงแค่ยื่นหนังสือและรวมตัวจัดเสวนาในวงเล็กๆ เพียงเท่านั้น