กลุ่มสันติภาพ3จว.ชายแดนใต้ เปิดความเป็นมาปัตตานี เพื่อเป็นแนวแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

1972

ก่อนจะเข้าสู่ปี 2561รัฐบาลไทยทุกยุคสมัยได้แก้ไขปัญหาความไม่สงบใน3จว.ภาคใต้มานานครบ13ปีแล้วก็คงน่าจะรู้แล้วว่ามันไม่สามารถยุติความรุนแรงในพื้นที่ได้อย่างแน่นอน!!!สำหรับเรื่องการขออนุญาตต่ออายุพ.ร ก.ฉุกเฉินฯทุก3เดือนที่มีต่อเนื่องมามากถึง 50 ครั้งแล้วแต่รัฐบาลทุกยุคสมัยกลับยังคิดไม่ออกหรือแกล้งคิดไม่ออกหรือไม่มีการประเมินผลการปฏิบัติบ้างหรืออย่างไร?

กลุ่มสันติภาพ3จว.ชายแดนใต้มีความเชื่อมั่นว่ายังมีประชาชนชาวไทยอีกจำนวนหลายสิบล้านคนที่ยังไม่รู้ความเป็นมาและข้อเท็จจริงของปัญหาความรุนแรงในพื้นที่3จว.ชายแดนใต้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงขอนำเสนอข้อเท็จจริงหรือข้อมูลทางประวัติศาสตร์ดังนี้คือ
-ในอดีตกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่รวมตัวด้วยอุดมการณ์หวังกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานีเพื่อแบ่งแยกดินแดนโดยอ้างเหตุผลว่ารัฐปัตตานีถูกล่าอาณานิคมจากรัฐสยามจึงต้องมีการชักชวนรวมตัวก่อตั้งเป็นกลุ่มขบวนการต่างๆหลังจากได้เกิดเหตุปะทะสู้รบกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่ตี่ำรวจที่บ้านดุซงญอเมื่อ 25-28เม.ย.2491ผนวกกับประชาชนจำนวนหนึ่งมีความรู้สึกแค้นใจกับเหตุการณ์ที่นายหะยีสุหลงฯ(พ่อคุณเด่น)ถูกตำรวจจับกุมตัวพร้อมกับผู้นำศาสนาที่ร่วมเสนอความเห็น7ข้อในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.

-เมื่อกลุ่มขบวนการต่างๆได้ก่อตั้งกลุ่มฯได้สำเร็จในราวปี2508 สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษฎ์ฯและได้ประกาศสู้รบกับอำนาจรัฐสยามด้วยอุดมการณ์และอ้างการสู้รบเพื่อศาสนากับอำนาจรัฐไทยเรื่อยมาแต่การปฏิบัติการของขบวนการบางกลุ่มกลับสวนทางกับคำสอนของอิสลามจนกระทั่งเข้าสู่ในช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณฯเมื่อมีมติครม.ให้ยุบศอ.บต.และพตท.43ในปี2545และในเวลาต่อมาได้เกิดเหตุการณ์ในปี2547มีการปล้นปืนในค่ายปิเหล็งเมื่อ4ม.ค,ทนายสมชายถูกอุ้มหายในเดือนมี.ค.,มีการปะทะหลายแห่งในพื้นที่ปัตตานีรวมถึงที่มัสยิดกรือเซะเมื่อ28เม.ย.(ตรงกับวันปะทะที่ดุซงญอเมื่อปี2491)และการสลายการชุมนุมที่สภ.อ.ตากใบเมื่อ25ต.ค.และมีข้อมูลการข่าวมีการอุ้มฆ่าผู้ที่มีบัญชีดำได้หายสาปสูญเป็นช่วงๆในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณฯ(รายละเอียดมีในหนังสือหมากรุกชีวิต)จนกระทั่งได้ปรากฏกลุ่มคนมุสลิมในพื้นที่ได้เกิดความแค้นจึงมีการรวมตัวตั้งกลุ่มRKKออกมาปฏิบัติการดังที่เป็นข่าวหลังเหตุการณ์ในปี2547เรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้

ขอตั้งข้อสังเกตก่อนจะเกิดกลุ่มขบวนการต่างๆดังนี้
1.ดินแดนรัฐปัตตานีในอดีตไม่ใช่ดินแดนของชาวมุสลิมมาลายู(ดินแดนอิสลาม)ดั้งเดิมแต่ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ดินแดนแหลมมาลายูมีตำนานว่าชาวอาหรับที่มาค้าขายได้ทำการรักษาโรคร้ายให้กับกษัตริย์ที่ปกครองรัฐปัตตานีในอดีต(ยังไม่รับอิสลาม)ถึง3ครั้งจนกระทั่งต้องเข้ารับอิสลามตามสัญญาที่ได้รับปากกับชาวอาหรับที่ทำการรักษาโรคร้ายจนหายขาดถือว่าเป็นปฐมกษัตริย์มุสลิมคนแรกเมื่อเข้าสู่ปีค.ศ1500หรือพ.ศ2043ในยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงครั้งที่1แก่พม่า(ตามหนังสือของกลุ่มนักวิชาการปัตตานีเรียบเรียงเขียน)

2.ในช่วงสมัยของปฐมกษัตริย์รัฐปัตตานีปกครองดินแดนรัฐปัตตานีเป็นช่วงยุคของผู้ปกครองอาณาจักรในอดีตกาลสมัยนั้นที่นิยมทำการล่าอาณานิคมดินแดนอื่นๆที่อ่อนแอกว่าซึ่งได้เกิดขึ้นทั่วโลกโดยเฉพาะในดินแดนยุโรป(อังกฤษกับฝรั่งเศสสู้รบกันมานานกว่า100ปี)และดินแดนในเอเซียกลาง(ผู้นำกองทัพมุสลิมได้ล่าอาณานิคมในดินแดนอาหรับขยายไปถึงสเปน)รวมถึงในดินแดนเอเซียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะกองทัพญี่ปุ่นที่ต้องการยึดดินแดนจีนอันกว้างใหญ่(ทหารญี่ปุ่นกระทำกับชาวจีนอย่างโหดเหี้ยมในยุทธการนานกิ่ง)และในช่วงสงครามโลกครั้งที่2หลังจากได้ถล่มระเบิดฐานทัพสหรัฐอเมริกาทางอากาศที่ท่าเรือเพอร์ฮาเบอร์ควบคู่กับกำลังกองทัพญี่ปุ่นได้ยกทัพเข้ามารุกรานประเทศไทยทางด้านฝั่งทะเลอ่าวไทยและได้กดดันรัฐบาลจอมพล ป.พร้อมกับยึดพื้นที่สำคัญๆในประเทศไทยจนในสุดผู้นำรัฐบาลไทยต้องจำยอมประกาศทำสงครามโลกครั้งที่2ร่วมกับญี่ปุ่นจึงได้เกิดกลุ่มเสรีไทยทั้งในไทย,อังกฤษและในอเมริกา

คำถามมีว่าคนมุสลิมมาลายูในอดีตและปัจจุบันได้รู้เรื่องราวการล่าอาณานิคมของกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรต่างๆในอดีตกาลที่ต้องการสร้างความยิ่งใหญ่เพื่อขยายอาณาจักรด้วยการยกทัพไปยึดดินแดนที่อ่อนแอกว่าเข้ารวมดินแดนที่ตนเองปกครองอาณาจักรในทุกภูมิภาคของโลกมากน้อยเพียงใดซึ่งการล่าอาณนิคมในยุคสมัยนั้นถือว่าเป็นความคิดปกติของผู้นำหรือผู้ปกครองอาณาจักรต่างๆในยุคสมัยนั้นที่ต้องสร้างความยิ่งใหญ่ด้วยการยกทัพไปยึดดินแดนของประเทศอื่นๆที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก

3.ในช่วงเข้าสู่ยุคกรุงรัตนโกสินทร์ในสมัยรัชกาลที่1ได้ส่งกองทัพสยามไปตีรัฐปัตตานีเป็ีนเมืองขึ้นในปี2329เพราะเจ้าเมืองรัฐปัตตานีที่เคยยอมเป็นเมืองประเทศราชย์ตั้งแต่ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาในอดีตได้ทำการแข็งข้อไม่ยอมสวามิภักษ์กับกษัตริย์สยามหลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงครั้งที่2แก่พม่าซึ่งกองทัพสยามกับกองทัพพม่ามีประวัติศาสตร์การสู้รบกันมาเป็นเวลายาวนานจนกระทั่งกองทัพเรือชาติมหาอำนาจยุโรปได้เข้ามาล่าอาณานิคมในดินแดนของประเทศต่างๆทางแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเหตุให้อินเดีย,มาเลเซียและพม่าต้องเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้วหลังจากนั้นกองทัพพม่ากับสยามต้องยุติทำสงครามลงเมื่ออังกฤษได้เข้ายึดดินแดนพม่าแล้วล้มสถาบันกษัตริย์ของพม่าตั้งแต่นั้มมา

4.เมื่อรัฐปัตตานีต้องถูกเป็นเมืองขึ้นต่อรัฐสยามและดินแดนรัฐปัตตานีได้ถูกแบ่งออกเป็น7หัวเมืองโดยรัชกาลที่1ได้แต่งตั้งชาวมุสลิมมาลายูในพื้นที่ที่อยู่ในแต่ละ7หัวเมืองเป็น”เจ้าเมือง”โดยไม่มีปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีเชื้อสายเจ้าเมืองดั้งเดิมในดินแดน7หัวเมืองมาก่อนยกเว้นเจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานี

5.ตั้งแต่ปีพ.ศ.2329จนถึงในสมัยรัชกาลที่5ราว100กว่าปีที่มีเจ้าเมืองทั้ง7เมืองได้ปกครองดินแดนรัฐปัตตานีในอดีตก่อนที่จะมีการโปรดเกล้าให้ข้าหลวงใหญ่พร้อมด้วยฝ่ายเก็บภาษีและกำลังทหารไปลงกำกับดูแลดินแดน7หัวเมืองแต่กลับไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือไม่ปรากฏข้อมูลทางประวัติศาสตร์ว่ามีผู้เป็นเจ้าเมืองใดหรือกลุ่มขบวนการของชาวมุสลิมมาลายูที่ต้องการประกาศกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานีในอดีตแต่อย่างใดหลังจากที่รัฐปัตตานีได้ถูกล่าอาณานิคมเป็นเมืองขึ้นของกองทัพรัฐสยามตั้งแต่ปี2329เป็นต้นมา

6.จนกระทั่งรัชกาลที่5ทรงมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองให้ก้าวหน้าตามยุคสมัยทั่วประเทศและได้โปรดเกล้าให้ข้าหลวงใหญ่จากเมืองหลวงลงไปกำกับดูแลพร้อมกำลังทหารและฝ่ายจัดเก็บภาษีในดินแดน7หัวเมืองเป็นเหตุให้เจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานีและมีบางหัวเมืองไม่พอใจแต่ไม่กล้าในเมื่อเจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานีได้เกิดความไม่พอใจจึงทำการต่อต้านคำสั่งของข้าหลวงใหญ่ทำให้ต้องถูกจับกุมคุมขังในข้อหาขบถและเมื่อได้พ้นโทษจนต้องอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ในดินแดนรัฐกลันตันของมาเลเซียภายใต้อาณานิคมของอังกฤษในขณะนั้น(ช่วงนั้นมาเลเซียต้องเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษเหมือนกับรัฐปัตตานีต้องเป็นเมืองขึ้นของสยาม)

7.ในช่วงที่เจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานีอยู่ที่รัฐกลันตันได้คิดวางแผนที่ต้องการกอบกู้เอกราชเอาดินแดนรัฐปัตตานีคืนจากกษัตริย์สยามตั้งแต่นั้นเรื่ิอยมาจนต้องเสียชีวิตลงในรัฐกลันตันและในเวลาต่อมาได้ปรากฏมีแกนนำชาวมุสลิมมาลายูในพื้นที่3จว.ภาคใต้ทำการรวมตัวชาวมุสลิมมาลายูในยุครัฐบาลจอมพล ป.ที่ได้หลบหนีหลังการปะทะสู้รบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หมู่บ้านดุซงญอด้วยความเข้าใจผิดว่าชาวบ้านจับอาวุธจะก่อขบถแต่ความจริงเกิดจากกลุ่มชาวมาลายูเชื้อสายจีนในมาเลเซียที่หลบหนีการปราบปรามจากรัฐบาลอังกฤษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2ตามแนวชายแดนไทยมาเลเซียแล้วเข้าไปทำการปล้นเสบียงของชาวบ้านดุซงญอในพื้นที่จ.นราธิวาสในช่วงสมัยนั้นจนในที่สุดชาวจีนมาลายูได้รวมตัวตั้งเป็นฐานปฏิบัติการกองกำลังทหารต่างชาติในพื้นที่จ.นราธิวาส,ยะลาและพื้นที่จ.สงขลาเรียกว่า”โจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา(จคม.)”ปรากฏการณ์นี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซีย(ได้รับเอกราชในปีพ.ศ.2500)ต่างฝ่ายต่างได้อาศัยกลุ่มขบวนการโจรจีนคอมมิวนิสต์มาลายา(จคม.)กับกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนต่างๆที่มีัหัวหน้ากลุ่มฯหลบอาศัยอยู่ในมาเลเซียสร้างเป็นเกมต่อรองและสร้างเป็นกันชนทางด้านความมั่นคงระหว่างประเทศเพราะเกิดความหวาดระแวงกันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ในอดีตเรื่อยมาและเริ่มคลี่คลายลงในยุคปัจจุบัน

8.อุดมการณ์ของอดีตเจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานีและเจ้าเมืองบางเมืองที่ได้รวมตัวตั้งเป็นกลุ่มขบวนการในสายเจ้าเมืองเพื่อต้องการกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานีคืนจากสยามในยุคนั้นเป็นช่วงหลังจากสูญเสียอำนาจปกครองรัฐหัวเมืองใน7หัวเมืองและต้องสูญเสียผลประโยชน์ในดินแดนหัวเมืองที่ตนเองเคยปกครองกอปรกับได้เกิดกลุ่มขบวนการต่างๆที่ก่อตั้งสำเร็จในราวปี2508เนื่องจากเกิดความแค้นที่ถูกเจ้าหน้าที่รัฐไทยในสมัยรัฐบาลจอมพลป.มีความหวาดระแวงถึงขั้นอคติและได้ใส่ร้ายแล้วทำการปราบปรามจากนโยบายชาตินิยมที่ไม่เข้าใจในอัตลักษณ์ของชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายูจนต้องหนีเข้าป่าไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มขบวนการต่างๆพร้อมกับได้ประกาศสู้กับรัฐสยามเพื่อกอบกู้เอกราชรัฐปัตตานีคืนมาจากรัฐสยามเช่นกัน

สะท้อนให้เห็นว่าอดีตเจ้าเมืองบางท่านที่ได้คิดต่อต้านอำนาจรัฐสยามและหัวหน้ากลุ่มขบวนการต่างๆในอดีตจนถึงปัจจุบันคงไม่ได้ศึกษาข้อเท็จจริงหรือข้อมูลทางประวัติศาสตร์คือในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่2 ทางฝ่ายผู้นำกองทัพอังกฤษได้แต่งตั้งทายาทอดีตเจ้าเมืองหัวเมืองปัตตานีเป็นหัวหน้าคุมกำลังทหาร126ในรัฐกลันตันแล้วได้ทำการชักชวนชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายูใน3จว.ภาคใต้ทำการสู้รบกับกำลังทหารญี่ปุ่นโดยทางผู้นำกองทัพอังกฤษได้สัญญาว่าหากชนะสงครามโลกครั้งที่2จะยกดินแดนรัฐปัตตานีให้ปกครองแต่เมื่อยุติสงครามโลกในปีพ.ศ.2488ทางผู้นำกองทัพสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นได้คัดค้านจึงเข้ามาแทรกแซงในการเจรจากับอังกฤษและรัฐบาลไทยพร้อมกับทำสัญญาข้อตกลงกันให้ดินแดนรัฐปัตตานี(3จว.ภาคใต้)ต้องเป็นดินแดนของประเทศไทยต่อไปสำหรับรัฐบาลไทยต้องยอมยกดินแดน4รัฐทางตอนใต้ของ3จว.ภาคใต้ให้กับอังกฤษจนได้รวมกันของรัฐต่างๆเป็นประเทศมาเลเซียจนถึงปัจจุบันนี้

ดังนั้นการที่ชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายูปัตตานีตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้คิดก่อตั้งกลุ่มขบวนการต่างๆพร้อมกับประกาศต่อสู้กับอำนาจรัฐไทยเพื่อต้องการแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันมานานกว่า70ปีแต่จะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ถ้าผู้ต้องการต่อต้านอำนาจรัฐไทยมีข้อมูลที่ไม่ผ่านการใช้สติปัญญาที่ชาญฉลาดไตร่ตรองอย่างรอบคอบว่าการคิดต้องการจะแบ่งแยกดินแดนเป็นประเทศได้นั้น(เป็นกบฏ)ต้องได้รับความเห็นชอบจากชาติมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและชาติมหาอำนาจยุโรปสนับสนุนและต้องให้ประเทศสมาชิกUNรับรองจึงจะเป็นประเทศได้และในขณะเดียวกันหากมาลองทบทวนใช้สติคิดถึงดินแดนของชาวปาเลสไตน์หลังยุติสงครามโลกครั้งที่2ที่ต้องถูกชาติมหาอำนาจทั้งหลายสนับสนุนชาวยิวตั้งเป็นประเทศอิสราเอลในดินแดนปาเลสไตน์จนชาวปาเลสไตน์ต้องออกมาสู้รบกับอิสราเอลกันมานานกว่า50ปีและในเวลาต่อมาผู้นำรัฐปาเลสไตน์ได้เรียกร้องถึงUNเพื่อจะขอตั้งเป็นประเทศปาเลสไตน์ในส่วนดินแดนของชาวปาเลสไตน์ที่ได้อาศัยอยู่แต่ชาติมหาอำนาจทั้งหลายกลับไม่ยอมเห็นชอบให้ดินแดนของปาเลสไตน์เป็นประเทศของเขาได้เลยแล้วพี่น้องชาวไทยมุสลิมหรือชาวไทยมุสลิมเชื้อสายมาลายูหรือชาวฟาฏอนีหรือชาวมุสลิมมาลายูในพื้นที่3จว.ภาคใต้(ตามงานวิจัย-มีชาวมุสลิมในพื้นที่จะเรียกตนเองแตกต่างกัน)ต้องการประกาศสู้รบกันอีกกี่10ปีจึงจะมั่นใจว่าจะได้เป็น*ประเทศปัตตานี*ตามที่ใฝ่ฝัน

ฉะนั้นชาวไทยมุสลิมใน3จว.ภาคใต้รวมถึงผู้ประสงค์เรียกตนเองชื่ออื่นอีกจำนวนหนึ่งที่ได้ทำการยุยงสนับสนุนเยาวชนหรือชายฉกรรจ์ใน3จว.ภาคใต้ให้ทำการต่อต้านอำนาจรัฐสยามในอดีตสืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบันโดยอ้างเหตุการณ์ล่าอาณานิคมรัฐปัตตานีเพื่อหวังแลกกับชีวิตของเยาวชนหรือชายฉกรรจ์ที่ถูกหลอกใช้ด้วยอุบายในการกอบกู้เอกราชหรือเพื่อญีฮาดทำการสู้รบกับอำนาจรัฐไทยตามที่ได้ปรากฏเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่3จว.ภาคใต้และในบางพื้นที่ในจว.สงขลาในขณะเดียวกันทางฝ่ายอำนาจรัฐในฝ่ายความมั่นคงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันได้มีการอ้างการก่อเหตุของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ทั้งในและนอกประเทศรวมถึงความต้องการงบประมาณในการปราบปรามและแก้ไขปัญหารวมถึงการพัฒนาในพื้นที่3จว.ชายแดนใต้ในแต่ละปีงบประมาณเป็นจำนวนมากและในช่วง13ปี(ปีพ.ศ.2547-2560)ที่ผ่านมาประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณ *มากกว่า3แสนล้านบาท*
(คนไทยต้องตื่นรู้กับปัญหา3จว.ชายแดนใต้)

กลุ่มสันติภาพ3จว.ชายแดนใต้ได้นำเสนอโครงการเพื่อขออาสาแก้ไขปัญหาให้ยุติความรุนแรงในพื้นที่3จังหวัดชายแดนภาคใต้ต่อท่านที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงเมื่อช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2560 แต่ก็ยังไม่มีการตอบรับแต่อย่างใด