โควิด19 กระทบพระราชทรัพย์!! เวปไซด์ ตลาดหลักทรัพย์ แจง ลดลง4.6หมื่นล้าน

เวบไซด์ ตลาดหลักทรัพย์ เผยแพร่ สถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อ บริษัทมหาชนขนาดใหญ่ 9 ราย มีทรัพย์สินลดลง กระทบต่อ พระราชทรัพย์ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีมูลค่าลดลงอย่างน้อย 4.6 หมื่นล้านบาท

วิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทยรุนแรง รูปธรรมชัดเจนคือ มูลค่าตามราคาตลาด หรือ market capitalisation ของ บริษัทมหาชน ขนาดใหญ่ 9 แห่ง ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีมูลค่าลดลงเกือบ 1.1 ล้านล้านบาท จากสิ้นปี 2562 มาถึงกลางเดือน พ.ย. 2563 เทียบได้กับราว 1 ใน 3 ของงบประมาณรายจ่ายแผ่นดินของปีงบประมาณ 2564

โดย บริษัทยักษ์ใหญ่ 9 อันดับแรกในตลาดหุ้นไทยล้วนได้รับผลกระทบ ทั้งยอดขาย กำไร ราคาหุ้น และมูลค่ารวมของบริษัท บริษัทเหล่านี้ดำเนินธุรกิจต่างกัน ได้แก่ พลังงาน สนามบิน ค้าปลีก โทรคมนาคม วัสดุก่อสร้างและเคมีภัณฑ์ โรงพยาบาล และธนาคาร

วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 ของ 2 ใน 9 บริษัทยักษ์ใหญ่ มูลค่าของพระราชทรัพย์ลดลงไปอย่างน้อย 4.6 หมื่นล้านบาท ณ 16 พ.ย. 2563

เว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ระบุว่า ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงครอบครองหุ้นเป็นสัดส่วน 33.64% หรือ 403,647,840 หุ้น ในบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC และ 23.38% หรือ 793,832,359 หุ้น ในธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ซึ่งลดลงจากเมื่อปลายปี 2562 ที่ทรงถืออยู่ที่ 799,692,359 หุ้น คิดเป็น 23.53% ของทั้งหมด

สิ้นปี 2562 ราคาหุ้น SCB อยู่ที่ 122 บาท แล้วตกมา 46.7% อยู่ที่ 65 บาท ณ สิ้นไตรมาสที่สามของปี 2563 แล้วปรับขึ้นมาอยู่ที่ 81.75 บาท เมื่อ 16 พ.ย. 2563

ส่วนหุ้น SCC อยู่ที่ 392 บาท เมื่อสิ้นปี 2562 แล้วตกไปเกือบ 18% มาอยู่ที่ 322 บาท เมื่อสิ้น ก.ย. 2563 แล้วปรับตัวขึ้นมาเป็น 358 บาท เมื่อ 16 พ.ย. 2563

ผลคือ พระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในรูปมูลค่าหุ้นของทั้ง 2 บริษัท ลดลงถึง 74,218 ล้านบาท หรือ 29% จาก 255,792 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 2562 เหลือ 181,574 ล้านบาท เมื่อถึงสิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 แล้วปรับตัวสูงขึ้นเป็น 209,402 ล้านบาท เมื่อถึงกลางเดือนพฤศจิกายน 2563 แต่ก็ยังต่ำกว่าปลายปี 2562 อยู่ 46,390 ล้านบาท หรือ หายไป 18.1%

สนง.ทรัพย์สินฯแจ้ง ก.ล.ต. ลดสัดส่วนถือหุ้นในไทยพาณิชย์ 3.33% เหลือ 18.14% เหตุใดรัชกาลที่ 10 ทรงเป็นผู้ถือหุ้น เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2561 ที่กำหนดคำว่า “ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์” ขึ้นมาใหม่ โดยให้หมายรวมถึง “ทรัพย์สินในพระองค์” และ “ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์” ควบรวมไปเลย ไม่แยกจากกัน

บทบัญญัติของกฎหมายใหม่นี้ ต่างจากกฎหมายเดิม คือ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2479 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งแยกทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็น 3 ส่วน ออกจากกัน ได้แก่

“ทรัพย์สินส่วนพระองค์” หมายถึงทรัพย์สินส่วนตัว
“ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” ที่ใช้เพื่อประโยชน์แผ่นดิน เช่น พระราชวัง
“ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” คือทรัพย์สินอื่น ๆ นอกเหนือจากนั้น ได้แก่ ที่ดิน ตึกแถว อาคารพาณิชย์ และหุ้นในกิจการต่างๆ

ทั้งนี้ ตามกฎหมายเดิม ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งบริหารโดยคณะกรรมการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ส่วนทรัพย์สินส่วนพระองค์อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมพระคลังข้างที่

ในอดีต การถือหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ส่วนใหญ่ถือในนามสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และบริษัทลูก เช่น บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด ทว่านับแต่มีกฎหมายฉบับใหม่ออกมาในปี 2561 ก็มีการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นมาเป็น “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร” ในปี 2561 แล้วเปลี่ยนมาเป็น “พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว” ในปี 2562 ภายหลังงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

เมื่อ 16 มิ.ย. 2561 สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เผยแพร่คำชี้แจงถึง 4 เหตุผลของการเปลี่ยนชื่อผู้ถือหุ้นจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 ใน 4 ข้อ คือ “เพื่อให้ทรัพย์สินนั้นอยู่ในบังคับของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีอากร และต้องมีภาระเสียภาษีอากรเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป อันเป็นการปฏิบัติเพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์”