เมื่อ “ทักษิณ” แสดง “ความอหังการ์” จึงกลายเป็นจุดตาย รัฐบาล “เศรษฐา”

51

สะเทือนไปทั้ง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” หลังจาก ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้อง 40 สว.วินิจฉัย กรณี แต่งตั้ง “ทนายถุงขนม” พิชิต ชื่นบาน เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่มีคุณสมบัติต้องห้าม รวมถึงกรณี “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องในคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศที่ เกาหลีใต้

กลายเป็นสัญญาณแปร่งๆ ที่ถูกพิเคราะห์ว่า “ดีล” ที่เคยทำให้ “นายใหญ่” เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย “ความอหังการ” ตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาโดยไม่ยี่หระต่อหน้าอินทร์หน้าพรหมและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ชักจะมีปัญหาเสียแล้ว

และยังมีประเด็นน่าสนใจ เมื่อผลโพล “พระปกเกล้า” ที่เช็กเรตติ้งการเมืองหลังครบ 1 ปีเลือกตั้ง 22 พฤษภาคม 2566 ปรากฏเรตติ้งของ “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในเวลานี้ไม่เพียงไม่กระเตื้อง ยังสาละวันเตี้ยลง แบบที่เลือกตั้งวันนี้พรุ่งนี้ไม่มีมุมให้กลับมาชนะ “พรรคก้าวไกล” ได้

และแน่นอนว่า เหตุและผลที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่พุ่งเป้าไปที่ “ทักษิณ” ที่สถาปนาตัวเองเป็นศูนย์กลางอำนาจอยู่รัฐบาล จะเป็น “ตัวฉุด” มากกว่า “ตัวช่วย”

ไม่ต้องอื่นไกล กรณีแต่งตั้ง “พิชิต” ที่นำคราวซวยมาถึง “เศรษฐา” นั้น ทุกฝักฝ่าย ทั้ง ภายใน-ภายนอก พรรคเพื่อไทย ต่างรู้ดีว่า การดันทุรังใส่ชื่อ “พิชิต” ที่มีสมญา “ทนายตระกูลชินวัตร” มาเป็นรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่ความต้องการของ “เศรษฐา” กลับกลายพยายามหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากมีปัญหาด้วยซ้ำ

เดิมทีชื่อ “พิชิต” ลอยมาตั้งแต่การตั้งคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 แล้ว แต่มีการก็ดึงเรื่องให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติ จนไม่ทันการนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ พอมีการปรับคณะรัฐมนตรี จึงมีการยัดชื่อเข้ามาอีกครั้ง

ว่ากันว่า “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่หลบหนีโทษจำคุกอยู่ในต่างแดน เป็นผู้ที่ผลักดัน “พิชิต” อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู นำมาซึ่งปัญหาที่ยังไม่รู้จะออกห้วหรือก้อย

โดยแม้ว่า ศาลรัฐธรรมนูญ จะไม่มีคำสั่งให้ “เศรษฐา” ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ด้วยเสียงเฉียดฉิว 5 ต่อ 4 เสียง แต่ได้ขีดเส้นตายให้ ต้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหากลับมายังศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง ซึ่งครบกำหนดในวันที่ 7 มิ.ย. 2567 หากไม่มีการขอขยายเวลาออกไป

กลายเป็นประเด็นปัญหาที่ทำให้ “เศรษฐา” ออกอาการว้าวุ่นใจ รับโดยดุษฎีว่า มีความกังวล และเร่งหารือกับทีมงานฝ่ายกฎหมาย เพื่อเตรียมจัดทำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาเพื่อต่อสู้คดีทันทีที่เสร็จจากภารกิจเดินทางเยือนต่างประเทศนาน 10 วัน

เป็นที่มาขอการเข้าไปขอคำแนะนำ รวมถึงทาบทาม “เนติบริกร” อย่าง “วิษณุ เครืองาม” อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่งตั้งให้เป็น “กุนซือ”ดูด้านกฎหมาย เพื่อช่วยเหลือ นายกฯ สู้คดีในศาลรธน. รวมถึงให้กลั่นกรองประเด็นข้อกฎหมายต่างๆให้กับรัฐบาลด้วย

ถือว่า “เศรษฐา” เข้าตาจนแบบสุดขีด ถึงกับต้องเรียกใช้ “ยาสามัญประจำบ้าน” อย่าง “วิษณุ” ที่แต่เดิมถือว่ามีแนวทาง-แนวคิดการเมือง คนละขั้ว ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ “เศรษฐา” ยังเคยตอกหน้าตรงๆ ว่า “ไม่มียางอาย” กับความเห็นของ “วิษณุ” เกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐลาลเสียงข้างน้อย

มาวันนี้ “เศรษฐา” ก็ยอมรับว่าเคยมีแนวทางที่ไม่ตรงกัน แต่ที่ใช้คำรุนแรงนั้นเป็นการแสดงต่อ “ความเห็น” หาใช่ “ตัวบุคคล”

อย่างไรก็ดีการที่รัฐบาลดึง “วิษณุ” กลับมาช่วยงานที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะใน พรรคเพื่อไทย ส่วนใหญ่ก็แสดงความไม่เห็นด้วย เพราะเคยต่อกรกับ “เนติบริกร” ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ มาอย่างต่อเนื่อง

องค์ประกอบของรัฐบาลผสมขณะนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนหน้าเดิมๆ องคาพยพของ “รัฐบาลประยุทธ์” ที่เคยแสดงความรังเกียจมาแล้วทั้งสิ้น ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อคะแนนนิยมที่พยายามกอบกู้กันอยู่ ยังมี “วิษณุ” ที่เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของ “รัฐบาล คสช.-รัฐบาลประยุทธ์” เข้ามาซ้ำอีก

เชื่อว่าการดึง “วิษณุ” มาร่วมงานด้วยนั้น แม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่ามีผู้แนะนำไปยัง “เศรษฐา” แต่ลึกๆแล้วก็หนีไม่พ้น “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ที่เปิด “ไฟเขียว” จากทั้ง “นายใหญ่ทักษิณ” และอาจรวมไปถึง “นายหญิง” คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ ที่รู้ฝีมือ “วิษณุ” เป็นอย่างดีด้วยมากกว่า

อ่านว่าทั้ง “เศรษฐา” รวมไปถึง “นายใหญ่-นายหญิง” คงเลือกที่จะแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปก่อน หวังพึ่ง “อภินิหาร” ทางกฎหมายของ “วิษณุ” ไปก่อน แล้วค่อยไปตายเอาดาบหน้า หาทางกอบกู้คะแนนนิยมในภายหลัง

ล่าสุด สถาบันพระปกเกล้า โดย สำนักนวัตกรรมเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับสำนักส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง และศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง 76 จังหวัด เพิ่งเปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความนิยมในพรรคการเมืองและนายกรัฐมนตรี : 1 ปีหลังการเลือกตั้ง 14 พ.ค.66”

ปรากฎว่า ผลการประเมินทั้งในส่วน สส.เขต-ปาร์ตี้ลิสต์ หาเลือกตั้งในช่วงนี้ พรรคก้าวไกล มีโอกาสได้ สส.รวมเพิ่มขึ้นเป็น 208 ที่นั่ง จากปัจจุบัน 151 เสียง ขณะที่ พรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันมี 141 เสียง จะเลือกเพียง 105 เสียง ซึ่งเป็นทิศทางเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ที่ถือว่าคะแนนนิยมตกลงอย่างถ้วนหน้า สวนทางกับ พรรคก้าวไกล ที่เรตติ้งยังดีอยู่ และดีขึ้นเพียงพรรคเดียว

หนักกว่านั้น เมื่อสอบถามถึงผู้ที่อยากให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในช่วงเวลานี้มากที่สุด ปรากฏเสียงส่วนใหญ่ 46.9% หรือเกือบครึ่ง เลือก “แด๊ดดี้ทิม” พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ตลกร้ายไปอีกเมื่อในลำดับที่ 2 มีชื่อ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี และอดีตสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วย 17.7% ส่วน “นายกฯ นิด-เศรษฐา” มาเป็นลำดับที่ 4 ด้วย 8.7% น้อยกว่าลำดับที่ 3 “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้ 10.5% เสียอีก

ผลการสำรวจที่ออกมาแม้จะใช้กลุ่มตัวอย่างไม่มาก เพียง 1.6 พันคนเศษเท่านั้น แต่ก็ต้องถือว่า “ผิดวิสัย” เป็นอย่างมาก เพราะตามรูปกาณณืแล้วผลการสำรวจความนิยมทางการเมืองหลังมีรัฐบาล มักจะเป็นผลบวกกับพรรคที่เป็นรัฐบาล รวมไปถึงตัวนายกรัฐมนตรีด้วยแต่เมื่อผลออกมากลับตาลปัตรขนาดนี้ก็ต้องสำรวจตรวจสอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับ “รัฐบาลเศรษฐา” แน่นอนว่าปัจจัยที่ทำให้คะแนนนิยทไม่กระเตื้องก็มาจากข้อหา “ตระบัดสัตย์” การสลายขั้วร่วมรัฐบาลกับ “พรรค 2 ลุง” ที่ไม่มีวันสลัดออกได้ เพราะประจักษ์พยานก็ยังเดินกันว่อนรัฐบาล แล้วยังมี “วิษณุ” เข้ามาสำทับอีก

ส่วนที่ยังสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องยอมรับว่า แม้ผ่านมากว่า 8 เดือนแล้ว แต่ผลงานของรัฐบาบด็ยังไม่ผลิดอกออกผล หลายเรื่องยังเป็นไผในลักษณะลูบๆคลำๆ ไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่ทำไปทำมาการประมเมินตัวเลขจีดีพีการเติบโตทางเศรษฐกิจกลับตกลงเหลือเพียง 1.5% แย่กว่ารัฐบาลที่แล้วที่ถูกค่อนขอดว่า ทำงานไม่เป็นเสียอีก

อีกปัจจัยสำคัญคงไม่พ้นบทบาทของ “นายใหญ่ทักษิณ” ที่ถือเป็น “จุดบอด” ตั้งแต่วันแรกที่รัฐบาลเข้ามาทำงาน

ด้วยมีการมองว่า ภายหลังจากที่ “ทักษิณ” เดินทางกลับสู่ประเทศไทย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ในวันเดียวกับที่รัฐสภาเลือก “เศรษฐา” เป็นนายกฯ ตาม “ซูเปอร์ดีล” ที่ทำให้เกิดการผสมพันธุ์สลายขั้วเพื่อจัดตั้งรัฐบาลนั้น “ทักษิณ” กลับมีพฤติกรรมที่ “ผยอง-อหังการ” หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ“ทักษิณ” สร้างแผลฉกรรจ์ให้รัฐบาล โดยการย่ำยีกระบวนการยุติธรรม อ้างอาการป่วยทู่ซี้อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ ตลอด 6 เดือนที่ถูกคุมขัง จนไม่เคยนอนค้างในคุกแม้แต่คืนเดียว ทำให้รัฐบาลถูกถล่มอย่างหนัก กระทั่งได้รับการพักโทษ กลับหายเป็นปลิดทิ้งประจานอาการ “ป่วยทิพย์” และมีการเคลื่อนไหวที่ข้องแวะกับการเมืองอย่างต่อเนื่อง ไม่อยู่บ้านเลี้ยงหลานอย่างที่ตกปากรับคำกับสังคมไว้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สำคัญ มีกระแสข่าวว่า เมื่อครั้ง เดินทางไป เมืองโคราช นครราชสีมา “ทักษิณ” สั่งปิดถนนช่วงหนึ่งก่อนถึงตัวเมือง เพื่อให้ขบวนรถของตัวเอง เดินทางอย่างสะดวกโยธิน โดยมี จนท.ตำรวจ ทหาร ยืนเข้าแถวต้อนรับ

ทำตัวเยี่ยงกับ “ขบวนเสด็จ” สร้างความไม่พอใจให้กับ กลุ่มขั้วอำนาจเก่าอย่างยิ่ง

และยิ่งนับวัน “ทักษิณ” ยิ่งสถาปนาตัวเป็น “ศูนย์กลางอำนาจ” ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อรัฐบาล และตัว ”เศรษฐา” อย่างแน่นอน

แต่ที่ “ยุ่งไปกว่านั้น” ก็คือถ้าสถานการณ์บานปลาย เกิดความวุ่นวายจากภาวะแทรกซ้อนที่ไม่อาจคาดเดาได้ กระทั่งเปิดทางให้ “สถานการณ์พิเศษ” มาอีก ก็คงไม่ต้องโทษใคร นอกจากตัว “ทักษิณ” เอง