Thanong Khanthong วิเคราะห์แผนโจมตีอิหร่านของอิศราเอล เป้าหมายทำลายศักยภาพทางนิวเคลียร์ และล้มระบอบรัฐศาสนา แต่แผนล้มเหลว เพราะสหรัฐฯไม่เข้าร่วม
ทรัมป์เดินหน้าไม่ได้ ถอยไม่ได้ อยู่เฉยก็ไม่ได้
Thanong Khanthong(ทรง ขันทอง)ได้วิเคราะห์การโจมตีอิหร่านของอิสราเอล เมื่อวันที่ 13 มิถุนายนวา่า มีการส่งซิกและตกลงกับเรียบร้อยแล้วว่า เบนจามิน เนทันยาฮู จะเปิดเกมสงครามกับอิหร่าน และจะให้โดนัลด์ ทรัมป์ ตามเข้ามาปิดเกม
แต่ทรัมป์ยังรีๆรอๆไม่กล้าเข้ามาปิดเกม ท้ังๆที่แผนการโจมตีอิหร่านของเหล่าเสนาธิการทางทหารและฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐได้นำมากางเอาไว้บนโต๊ะแล้ว รอเพียงแค่ทรัมป์เคาะเท่านั้น
ที่ทรัมป์ลังเลใจไม่กล้าโจมตีอิหร่าน เพราะว่าความเสี่ยงของการสูญเสีย (downside risks) มากกว่าโอกาสที่จะได้ (upside gains)
ตอนที่อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านในรูปแบบshock & aweในวันศุกร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ท้ังเนทันยาฮูและทรัมป์ต่างเข้าใจว่าปฏิบัติการของอิสราเอลในวันนั้นจะสามารถล้มล้างระบอบการปกครองของอิหร่านภายใต้การนำของอายาตุลลาห์ อาลี คาเมเนอีได้
แผนการมีดังนี้คือ หากบอมบ์ระบบป้องการภัยทางอากาศ และระบบเรดาร์ และลอบสังหารระดับผู้บังคับบัญชาการของอิหร่านได้ อิหร่านจะตั้งตัวไม่ติด เสียขวัญกำลังใจ และสูญเสียการสั่งการบังคับบัญชา ซึ่งจะทำให้ระบบการทำงานทุกอย่างเป็นง่อย น่านฟ้าอิหร่านจะเปิดกว้างให้เครื่องรบกว่า 200 ลำภายใต้การสนับสนุนจากเพนตากอนสามารถบินเข้ามาในอิหร่านเพื่อทำลายโครงสร้างพื้นฐาน
รวมท้ังหมดของอิหร่าน ประชาชนชาวอิหร่านจะระส่ำระสาย การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของอิหร่านก็จะสามารถทำได้ง่าย เพราะมีการเตรียมการให้เจ้าชายเรซ่า ปาห์ลาวี แห่งราชวงศ์ปาห์ลาวีกลับมาปกครองอิหร่านแล้ว
การทำลายโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะทุกคนรู้ดีว่าอิหร่านไม่มีอาวุธนิวเคลียร์
อิหร่านถูกการโจมตีแบบสายฟ้าแลบของอิสราเอลในปฏิบัติการสิงโตผงาด (Operation Rising Lion)ที่ใช้เครื่องบินรบ 200 ลำ ผสมผสานกับการใช้หน่วยรบพิเศษของมอสสาดที่ใช้โดรน และระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอิหร่านก่อนหน้านี้แล้วในการก่อวินาศกรรมแท่นยิงขีปนาวุธ ระบบเรดาร์ และโครงสร้างพื้นฐานทางทหารอื่นๆของอิหร่าน
อิหร่านใช้เวลา 8 ชั่วโมงในการต้ังหลัก แต่งตั้งผู้บัญชาการรบคนใหม่แทนคนเก่าที่ถูกลอบสังหารไป 8-9 นาย รื้อฟื้นระบบป้องกันภัยทางอากาศเพื่อตอบโต้ พร้อมกับไล่ล่าหน่วยปฏิบัติการพิเศษของมอสสาดในอิหร่าน ซึ่งมีอยู่หลายร้อยคน ตอนนี้จับได้แล้วร้อยกว่าคน
ในวันเดียวกันนั้น (13 มิถุนายน) อิหร่านเริ่มปฏิบัติการตอบโต้อิสราเอลผ่านปฏิบัติการ True Promise III ด้วยการใช้ขีปนาวุธและโดรนถล่มอิสราเอลที่อยู่ห่างออกไป1,200ไมล์ อิหร่านใช้ขีปนาวุธรุ่นโบราณโจมตีอิสราเอลในระยะแรก เพื่อให้อิสราเอลพระว้าพะวงกับการขีปนาวุธยิงสกัดกั้น ก่อนที่จะยิงขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิกเข้ามาแจม
อิสราเอลต้องใช้ขีปนาวุธ3-5 ลูกในการสกัดกั้นขีปนาวุธของอิหร่านที่ยิงเข้ามา1ลูก ไม่ต้องเก่งเลขมากก็รู้ได้ว่าอีกไม่ช้าระบบป้องกัยภัยทางอากาศ Iron Domeของอิสราเอลจะหมดสต็อค ในขณะที่อิหร่านได้สะสมขีปนาวุธนับแสนลูกผ่านการเตรียมการมากว่า 20 ปี เพราะอิหร่านรู้ดีว่าสงครามใหญ่กับอิสราเอล กับสหรัฐเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ในอนาคต
ตลอดระยะเวลา6วันของการทำสงครามที่ผ่านมา ปรากฎชัดเจนขึ้นไปเรื่อยๆว่า อิหร่านอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ สามารถทำลายท่าเรือ ฐานทัพ สนามบิน โรงงานน้ำมัน อาคารของหน่วยงานความมั่นคงได้ ในขณะที่อิสราเอลมีข้อจำกัดในการส่งเครื่องบินไปถล่มอิหร่าน เพราะว่าฐานทัพสนามบินอาจจะถูกทำลายหมดไปแล้ว ต้องพึ่งพาการก่อวินาศกรรมภายในอิหร่าน แต่เครื่องบินรบอิสราเอลยังเดินหน้าถล่มอิหร่านไม่ยั้ง แต่อิหร่านเป็นประเทศใหญ่ ทำลายลำบาก
นับวันIron Domeของอิสราเอลยิ่งจะอ่อนล้าไม่สามารถต้านทานขีปนาวุธที่มีความแม่นยำและประสิทธิภาพสูงของอิหร่านได้เช่นขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงฟัตตาห์ หรือ ขีปนาวุธแบบทิ้งตัวสองขั้นตอนชนิดหนักพิเศษรุ่น Sejjil ซึ่งถูกนำมาใช้เป็นคร้ังแรกในสมรภูมิการรบ อิหร่านอาจจะมีขีปนาวุธที่ทรงอานุภาพมากกว่านี้ ที่กำลังรอจังหวะที่จะถูกใช้เพื่อปิดเกมสงครามกับอิสราเอล
ในขณะเดียวกัน สื่อThe Washington Post และThe Wall Street Journalต่างรายงานเหมือนกันว่า อีกไม่นานขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศของอิสราเอลจะหมดสต็อค สหรัฐเองก็มีสต๊อคจำกัด ไม่สามารถจะจัดส่งให้อิสราเอลได้ตามที่ต้องการ
เมื่อเป็นที่ประจักษ์ว่า Iron Domeไม่สามารถสกัดขีปนาวุธมหาประลัยของอิหร่านได้ กองทัพอิหร่านจึงได้ออกมาประกาศว่า อิหร่านสามารถควบคุมน่านฟ้าของอิสราเอลได้แล้ว เมื่อควบคุมน่านฟ้าอิสราเอลได้ อิหร่านจะสามารถเลือกเป้าถล่มอิสราเอลได้ตามใจชอบ
ชาวอิสราเอลจะตกที่นั่งลำบากเหมือนชาวปาเลสไตน์
มาถึงจุดนี้เนทันยาฮูหลังพิงฝาแล้ว หากทรัมป์ไม่ช่วยอิสราเอลจะล่มสลายในที่สุด เพราะพิษจากขีปนาวุธอิหร่านที่จะทำลายโครงสร้างพื้นฐานท้ังหมดของอิสราเอล
ทรัมป์ก็ช่วยเนทันยาฮูจริง แต่แค่ช่วยด้วยลมปาก ด้วยการข่มขู่ให้อิหร่านยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไข บอกเป็นนัยว่าจะจัดการลอบสังหารผู้นำสูงสุดของอิหร่านได้ทุกเมื่อ ให้อิหร่านยกเลิกโครงการนิวเคลียร์ทั้งหมด มิเช่นนั้นทรัมป์จะส่งกองทัพสหรัฐเข้าไปทำลายอิหร่าน
แต่การพูด มันง่ายกว่าการกระทำมาก
แผนการหลักของโจมตีอิหร่านที่ทรัมป์ได้รับการบรรยายสรุปจากเสนาธิการและฝ่ายความมั่นคงสหรัฐจะมุ่งทำลายโครงการนิวเคลียร์Fordowของอิหร่าน โดยต้องใช้เครื่องบินล่องหน B-2ทิ้งระเบิดทำลายบังเกอร์ เพื่อทำลายห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์ของอิหร่านที่อยู่ลึกใต้ชั้่นดินถึง60-100 เมตร
อิสราเอลไม่มีปัญญาทำลายFordow ต้องพึ่งพาสหรัฐอย่างเดียว
แต่ทรัมป์ยังไม่มั่นใจว่าเครื่องบินล่องหน B-2ทิ้งระเบิดทำลายบังเกอร์จะปฏิบัติการได้บรรลุเป้าหมาย สงครามจะจำกัดวง (limited war) ไม่ใช่เป็นการปูพรมบอมบ์อิหร่านทั้งประเทศเหมือนสงครามอิรัก หรือส่งทหารอเมริกันเข้าไปบุกยึดดินแดนของอิหร่าน คิดแล้วน่าจะเป็นการเพียงพอในการป้องปรามไม่ให้อิหร่านโจมตีอิสราเอลต่อไป แต่เมื่อเริ่มสงครามแล้วมันจะหยุดไม่ได้ และจะขยายวงเป็นสงครามโลก
ในนาทีนี้ อิหร่านไม่กลัวคำขู่ของทรัมป์แม้แต่น้อย และไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมหรือใครทั้งนั้น จะเดินหน้าโจมตีอิสราเอลจนกว่าอิสราเอลจะย่อยยับ หรือลบอิสราเอลออกจากแผนที่เพื่อว่าอิสราเอลจะไม่ได้เป็นภัยต่ออิหร่าน และโลกมุสลิมต่อไป หากอิหร่านยอมผ่อนปรนยอมความในคร้ังนี้ อิสราเอลจะกลับมาทำร้ายอิหร่านได้ในภายหลัง
หากทรัมป์ตัดสินใจเปิดฉากปฎิบัติการทำลายโรงงานนิวเคลียร์Fordowของอิหร่านและไม่สัมฤทธ์ผล ทรัมป์จะเจอกับความเสี่ยงของการเข้าร่วมสงครามของมหาอำนาจนิวเคลียร์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน ปากีสถานที่จะใ้ห้ความช่วยเหลืออิหร่านอย่างเต็มกำลัง สงครามโลกคร้ังที่3จะก่อตัวขึ้นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
ทั้งจีนและรัสเซียน่าจะทะยอยส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ให้อิหร่านแล้วอย่างต่อเนื่อง อิหร่านจะมีอาวุธและระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ดีที่สุดในการรับมือกับกองทัพสหรัฐ ซึ่งจะไม่มีทางเอาชนะอิหร่านได้ เพราะว่าการทำสงครามกับอิหร่านจะประสบกับปัญหาด้านโลจิสติกส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการส่งทหารอเมริกันเข้าประจำการในพื้นที่ การลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆเข้าในตะวันออกกลางต้องใช้ฐานทัพสหรัฐในภูมิภาค อิหร่านได้ขู่แล้วว่าจะโจมตีฐานทัพสหรัฐทุกแห่งในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะอยู่ในซาอุดิ อาราเบีย ยูเออี กาต้าร์ คูเวต หรือบาห์เรน เมื่อสหรัฐเข้าสู่สงครามกับอิหร่าน และอิหร่านจะปิดช่องแคบฮาร์มุซ ซึ่งจะทำให้การขนส่งน้ำมัน20%ของซับไพลของโลกต้องหยุดชะงักลง ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง$300ต่อบาเรลล์
นอกจากความเสี่ยงของปฏิบัติการที่ล้มเหลวในอิหร่าน ความเสี่ยงของสงครามโลกที่ต้องเผชิญกับรัสเซียจีน และพันธมิตรซีกโลกใต้ สิ่งที่ทรัมป์กลัวที่สุดคือประชาชนคนอเมริกันจะลุกฮือขึ้นมาต่อต้านทรัมป์ เพราะทรัมป์ทรยศต่ออุดมการณ์Make America Great Again เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้น ขึ้นเฟ้อจะเฟ้อกระจุยกระจาย คนอเมริกันจะยอมรับไม่ได้ถ้าต้องเติมน้ำมันแกลลอนละ$7เหรียญ แต่ที่สำคัญที่สุด ตลาดบอนด์สหรัฐจะพัง เนื่องจากกระทรวงคลังต้องรีไฟแนนซ์หนี้$9ล้านล้านในเดือนกันยายนนี้ จะมีแต่คนเทขายทรัพย์สินสหรัฐในยามสงครามขณะที่สหรัฐต้องพึ่งพาเงินทุนไหลเข้า
นี้คือความเสี่ยงที่ทรัมป์มองดูแล้วมีแต่เสียกับเสีย ไม่มีได้เลย แต่ทรัมป์เข้ามามีอำนาจในทำเนียบขาวได้ เพราะอิทธิพลของพวกรัฐลึกที่ควบคุมฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และสื่อสารมวลชน และพวกรัฐลึกต้องการก่อสงครามโลกเพื่อล้างหนี้ และสกัดจีนไม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกแทนสหรัฐ ทรัมป์จึงอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาลให้ก่อสงครามกับอิหร่านเพื่อปิดเกมให้อิสราเอล และต่อยอดสงครามโลก ท้ังๆที่ทรัมป์ในใจไม่อยากทำสงคราม
แต่ทรัมป์ตอนนี้อยู่ในสภาพกลืนไม่เข้า คายไม่ออกจริงๆ เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ อยู่เฉยๆก็ไม่ได้
สรุปสาระสำคัญเป็นข้อๆ ของบทความจาก ทรง ขันทอง (Thanong Khanthong) เรื่อง “ทรัมป์เดินหน้าไม่ได้ ถอยไม่ได้ อยู่เฉยก็ไม่ได้” เพื่อให้อ่านเข้าใจง่ายและเป็นลำดับ
🧠 สรุปเนื้อหาหลักแบบเรียงข้อ
📌 1. เบื้องหลังแผนโจมตีอิหร่าน
1.1 อิสราเอล (เนทันยาฮู) ตกลงกับสหรัฐให้เปิดเกมโจมตีอิหร่าน
1.2 ทรัมป์มีหน้าที่ “เข้ามาปิดเกม” แต่ยังลังเลไม่กล้าอนุมัติ
1.3 แผนโจมตีรอการเคาะอนุมัติจากทรัมป์อย่างเดียว
📌 2. เหตุผลที่ทรัมป์ลังเล
2.1 ความเสี่ยง (Downside risks) สูงกว่าผลประโยชน์ (Upside gains)
2.2 โอกาสล้มเหลวของภารกิจสูง และอาจลุกลามเป็นสงครามโลก
2.3 ความเสียหายต่อเศรษฐกิจสหรัฐจะรุนแรงมาก
📌 3. รายละเอียดแผนโจมตีอิหร่าน
3.1 ใช้เครื่องบินรบ 200 ลำ + หน่วยมอสสาดซ่อนตัวในอิหร่าน
3.2 เป้าหมาย: ระบบป้องกันภัย, เรดาร์, ฐานทัพ, ผู้นำระดับสูง
3.3 หวังทำให้อิหร่านขาดการสั่งการ และเปิดช่องโจมตีลึกเข้าไปในประเทศ
3.4 เตรียม “เจ้าชายเรซ่า ปาห์ลาวี” กลับมาปกครองอิหร่านแทนรัฐบาลศาสนา
📌 4. การตอบโต้ของอิหร่าน
4.1 ใช้เวลา 8 ชั่วโมงฟื้นระบบการสั่งการ
4.2 ปฏิบัติการ “True Promise III” โต้กลับด้วยขีปนาวุธและโดรน
4.3 ใช้ขีปนาวุธรุ่นเก่าเบี่ยงเบน Iron Dome ก่อนส่งขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก
4.4 จับสายลับมอสสาดได้มากกว่า 100 ราย
📌 5. จุดอ่อนของอิสราเอล
5.1 Iron Dome ต้องใช้ 3-5 ลูกต่อต้าน 1 ลูกของอิหร่าน → สต็อกใกล้หมด
5.2 ระบบป้องกันถูกทำลายหลายแห่ง
5.3 อิหร่านเริ่มควบคุมน่านฟ้าอิสราเอลได้บางส่วน
5.4 อิสราเอลถล่มกลับได้บ้าง แต่ไม่อาจเอาชนะประเทศใหญ่แบบอิหร่านได้ง่าย
📌 6. บทบาทของสหรัฐ
6.1 สหรัฐมีแผนใช้ B-2 ทิ้งระเบิดถล่มโรงงานใต้ดิน Fordow
6.2 อิสราเอลไม่มีขีดความสามารถทำลาย Fordow เอง
6.3 ทรัมป์ยังลังเล เพราะกลัวสงครามลามไปไกล
6.4 ถ้าโจมตีแล้วไม่สำเร็จ จะดึงจีน รัสเซีย ปากีสถาน เข้าร่วมสงคราม
📌 7. ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจของสหรัฐ
7.1 สหรัฐต้องรีไฟแนนซ์หนี้ $9 ล้านล้าน ก.ย.นี้
7.2 หากเกิดสงคราม นักลงทุนจะเทขายพันธบัตรสหรัฐ
7.3 ราคาน้ำมันจะพุ่งถึง $300 ต่อบาร์เรล
7.4 คนอเมริกันจะไม่ทนกับราคาน้ำมันแกลลอนละ $7
7.5 เศรษฐกิจอาจพัง ความนิยมของทรัมป์จะดิ่งลง
📌 8. บทบาทของ “รัฐลึก” (Deep State)
8.1 รัฐลึกต้องการสงครามโลกเพื่อ:
• ล้างหนี้ประเทศ
• สกัดไม่ให้จีนขึ้นเป็นมหาอำนาจ
8.2 ทรัมป์อยู่ภายใต้แรงกดดันจากรัฐลึก แต่ในใจ “ไม่อยากทำสงคราม”
⸻
🚨 บทสรุป: สถานการณ์ของทรัมป์
“ทรัมป์อยู่ในสถานะ กลืนไม่เข้า คายไม่ออก”
เดินหน้า = เสี่ยงสงครามโลก, เศรษฐกิจล่ม
ถอยหลัง = ถูกมองว่าอ่อนแอ ทรยศอิสราเอล
อยู่เฉย = ปล่อยให้อิสราเอลล่มสลาย